ลำพูน - หมอฟันสาวลำพูนเปิดอกโดนแก๊งมิจฉาชีพตุ๋นเป็นสตอรี..เผยหัวโจกใช้ความเป็นเพื่อนสมัยเรียนตีสนิท ก่อนหลอกลงทุนขายหน้ากากอนามัย-เหล็กแปรรูป ยันซื้อขายทองแดง ผ่านตัวละครรวม 12 คน จนตัวเอง-ญาติพี่น้องสูญเงินรวมเกือบ 70 ล้าน
หมอกระต่าย (นามสมมติ) ทันตแพทย์ที่เปิดคลินิกทันตกรรมย่านตัวเมืองลำพูน บอกว่า เมื่อปี 2562 มีโอกาสพบเพื่อนร่วมรุ่นสมัยเรียนคนหนึ่งชื่อนางสาวกบ (นามสมมติ) ทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่งย่านนิคมอุตสาหกรรม จ.ลำพูน ซึ่งเข้ามาทักทายพูดคุยจนสนิทกัน
หลังจากนั้นนางสาวกบได้มาลงทุนเช่าอาคารพาณิชย์ข้างคลินิก เปิดบริษัทเพื่อให้เชื่อว่าทำธุรกิจรับซื้อกากอุตสาหกรรมจากนิคมอุตสาหกรรมลำพูน นำไปขายต่อให้กับโรงงานรีไซเคิลย่านภาคตะวันออก ทำให้เริ่มมีความสนิทชิดเชื้อไปมาหาสู่กันเป็นประจำ
ต่อมาตนประกาศขายที่ดิน 6 ไร่ในราคา 7.8 ล้านบาท นางสาวกบก็มาบอกว่าสนใจซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวเพื่อขยายโรงงาน หมอกระต่ายตกลงขายและด้วยความเชื่อใจก็โอนโฉนดที่ดินให้นางสาวกบเพื่อยื่นขอสินเชื่อจากธนาคาร 10 ล้านบาท จากนั้นนางสาวกบก็นำเงินให้หมอกระต่าย 3.9 บาท ค้างเงินอีก 3.9 ล้านบาท
ส่วนเงินที่เหลือ นางสาวกบได้นำไปจ่ายหนี้กับเจ้าหนี้รายอื่น โดยไม่ได้จ่ายเงินค่าที่ดินที่คงค้างให้หมอกระต่าย จนต้องทวงถามหลายครั้ง จึงทยอยจ่ายให้ทีละ 1-2 แสน จนปลายปี 62 ยังค้างจ่ายค่าที่ดินอีก 1.9 ล้าน
หมอกระต่ายเล่าอีกว่า ต้นปี 2563 นางสาวกบมาอ้างว่าได้ประมูลซื้อขายหน้ากากอนามัยจากโรงพยาบาลขนาดใหญ่ 3 แห่งในเชียงใหม่ เชียงราย และลำปาง โดยมีการทำเอกสาร (ปลอม) มาให้ดู พร้อมกับพูดจาหว่านล้อมให้ตนร่วมลงทุน อ้างว่าจะนำกำไรที่ได้จากการลงทุนคืนให้ทั้งหมด จึงตัดสินใจเปิด หจก.โดยมีนางสาวกบ ถือหุ้นด้วย พร้อมกับจ่ายค่าธรรมเนียมและเสียภาษี หมดเงินไป 3.3 แสนบาท พร้อมกันนี้ได้สั่งออเดอร์หน้ากากอนามัยจากบริษัทแห่งหนึ่ง แต่เมื่อติดตามสอบถามว่าจะส่งหน้ากากอนามัยได้เมื่อไหร่นางสาวกบอ้างว่าถูกบริษัทประมูลได้ไปแล้ว
ระหว่างนั้นนางสาวกบยังได้เสนอโปรเจกต์ ว่าสามารถประมูลเศษเหล็กจาก 2 บริษัทในนิคมอุตสาหกรรมจังหวัดลำพูน และ จ.พระนครศรีอยุธยา อีกหนึ่งบริษัท อ้างว่าจะนำไปขายให้บริษัทรีไซเคิลแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี เจ้าของชื่อ “เฮียประกิต” ให้ตนลงทุนไป 1.1 ล้าน จะได้กำไรเดือนละ 3 ล้าน พร้อมกับส่งรูปรถบรรทุกขนเศษเหล็กและใบเสร็จมายืนยันให้หมอกระต่ายดู
พร้อมกับได้ชักจูงโน้มน้าวว่าทางโรงงานที่อยุธยาต้องการเร่งนำเศษเหล็กออกและต้องลงทุนเพิ่ม เนื่องจากเหล็กจากโรงงาน จ.พระนครศรีอยุธยา มีปัญหาชิ้นใหญ่ต้องจ้างคนงานตัดเหล็กให้มีขนาดเล็กลง และระหว่างรอให้คนงานตัดเหล็ก นางสาวกบอ้างว่ามีการประมูลทองแดงจากโรงงาน 4 แห่งในนิคมอุสาหกรรม จ.ลำพูน พร้อมอ้างว่ามีญาติและเพื่อนในโรงงานทั้ง 4 แห่งช่วยเหลือในการประมูล
โดยหลอกล่อให้ตนถอนเงินสดมามัดจำค่าทองแดงทั้งหมดเป็นเงิน 11.1 ล้านบาท หลังจากนั้นนางสาวกบได้อ้างว่าได้ส่งทองแดง จาก 2 บริษัท จ.ลำพูน ไปโรงงานรีไซเคิล ย่าน จ.ชลบุรี แต่ติดปัญหาไม่ได้เสียภาษีต้นทางจึงถูกศุลกากรจับ ต้องจ่ายภาษี และเงินใต้โต๊ะ 5.4 ล้าน
“ตอนนั้นดิฉันตัดสินใจจ่ายเงินค่าภาษีทองแดง ซึ่งนางสาวกบอ้างว่าต้องโอนเงินให้ หน.ศุลกากร เชียงใหม่ ชื่อประวิทย์ ฤาชา ที่ความจริงคือบัญชีม้า”
เวลาต่อมานางสาวกบได้อ้างว่าคนรับซื้อทองแดงล็อตนี้ชื่อ “เฮียหมู” ประสบอุบัติเหตุภรรยาน้อยเสียชีวิต ส่วนตัวเฮียหมูอาการสาหัสนอนห้องไอซียู นอกจากนี้ยังบอกด้วยว่าเฮียหมูกำลังกู้เงินเพื่อมาซื้อทองแดง หากเฮียหมูเสียชีวิต จะทำให้ไม่ได้เงินค่าทองแดง แล้วให้หมอกระต่ายโอนเงินช่วยเหลือให้ภรรยาเฮียหมูซึ่งความจริงก็เป็นบัญชีม้า ทั้งยังอ้างอีกว่าทองแดงทั้งหมดไปติดอยู่ จ.ระยอง จึงไม่ได้เงินค่าขายเศษเหล็กและทองแดงทั้งหมด
ระหว่างนี้นางสาวกบได้แนะนำนายทุนเงินกู้นอกระบบ 30 รายมาให้หมอกระต่ายกู้เป็นเงิน 3.5 ล้าน ดอกเบี้ยร้อยละ 20 อ้างว่าเพื่อนำเงินมาหมุนเวียนในระบบธุรกิจ โดยนางสาวกบเป็นผู้ค้ำประกัน โดยต้องจ่ายเงินคืนวันละ 2 แสนบาท จนไม่สามารถจ่ายเงินคืนได้ต้องไปยืมเพื่อนๆ เพื่อมาจ่ายเงินกู้นอกระบบ
หมอกระต่ายยังเล่าถึงกลโกงที่เจอต่ออีกว่า หลังจากนี้นางสาวกบอ้างว่าเฮียหมูหายป่วยอาการดีขึ้น ขณะนี้กำลังกู้เงินวงเงิน 68 ล้าน โดยใช้เวลาขอสินเชื่อนานกว่า 1 เดือน เนื่องจากที่ผืนดังกล่าวเป็นที่ดินมรดกต้องให้ญาติเซ็นยินยอม แต่เฮียหมู กับภรรยาเฮียประกิตมีการปลอมแปลงเอกสารขอสินเชื่อ ทำให้ธนาคารจับได้และถูกขึ้นแบล็กลิสต์ จากนั้นได้สร้างสถานการณ์ว่า ผู้จัดการธนาคารโทร.มาบอกว่าหากอยากให้สินเชื่อเฮียหมูผ่านให้จ่ายเงินใต้โต๊ะ และหว่านล้อมให้ตนโอนเงิน 3.5 ล้าน ผ่านบัญชีภรรยาเฮียหมู ชื่อ “ทวีรัก” แต่ความจริงเป็นบัญชีม้าเช่นกัน
นางสาวกบยังได้แจ้งมาอีกว่า..ตอนนี้เอกสารการขอสินเชื่อของเฮียหมู เรียบร้อยแล้วรอเข้าคิวให้บอร์ดธนาคารพิจารณา ซึ่งจะมีการพิจารณาวันพุธและวันพฤหัสบดี ซึ่งตอนนี้อยู่คิวที่ 20 หากต้องการลัดคิวต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะให้คนจัดคิวอีก 1.5 ล้าน หลังจากนั้นก็มาบอกว่าธนาคารอนุมัติสินเชื่อให้เฮียหมูเรียบร้อย แต่บริษัทของเฮียหมูต้องทำงบดุลยืนยันกับ บสย.ใหม่จึงจะได้รับการอนุมัติ ต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะให้ผู้ตรวจสอบงบดุลบริษัทเฮียหมูอีก 2 แสนบาทเพื่อให้เอกสารงบดุลบริษัทเฮียหมูผ่าน จากนั้นนางสาวกบได้นำเอกสาร (ปลอม) จาก บสย.มายืนยันว่าบริษัทของเฮียหมูได้กู้เงินจริง
กระทั่งเมื่อใกล้ถึงเวลาจดจำนองที่ดินขอสินเชื่อของเฮียหมู นางสาวกบอ้างว่าเฮียหมูกับภรรยา และเฮียประกิต พร้อมภรรยา ถูกจับข้อหาเช็คเด้ง 10 ล้าน ทำให้ทั้ง 4 คนต้องนำโฉนดที่จะจดจำนองมาประกันตัววงเงิน 8 ล้านทำให้โฉนดอยู่ที่ศาล ต้องหาโฉนดฉบับใหม่ที่มีมูลค่าใกล้เคียงกับโฉนดของเฮียหมู มาสับเปลี่ยน รวมทั้งต้องหาเงินมาจ่ายค่านายหน้าประกัน 8 แสน และขอให้ช่วยเงินค่าจดจำนองอีก 6.8 แสน โดยอ้างว่าเฮียหมูจะชดใช้เงินทั้งหมดที่ยืมมาพร้อมดอกเบี้ยประมาณ 50 ล้าน
เมื่อถึงเวลาที่จะจ่ายเงินคืน กลับมีหน้าม้าแอบอ้างเป็นภรรยาเฮียประกิตโทร.มาบอกจะคืนเงินให้ 30 ล้าน โดยผ่อนชำระอาทิตย์ละ 10 ล้าน พอถึงเวลา ขอเป็นอาทิตย์ละ 5 ล้าน 6 อาทิตย์ ลดไปเรื่อยๆเหลือ 2 ล้านต่อเดือน
ห้วงเวลานั้นหน้าม้า นางสาวกบก็ยังอ้างกับผู้ร่วมลงทุนว่าตอนนี้กำลังจะได้รับการประมูลบริษัทเหล็กที่ อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น จะได้เงินค่านายหน้ามาใช้คืนหมอกระต่าย ยืนยันจะจ่ายเงิน 2 ล้านบาทแรกในวันที่ 30 เมษายน 2565 แต่ว่าจะมีนายทุนมาขอซื้อทั้งเหล็ก ทองแดง และหนี้สินจากเฮียหมู
หมอกระต่ายบอกว่าเริ่มสงสัยจึงไปเช็กระบบการเงินทราบว่าเงินทั้งหมดที่โอนไปให้แต่ละบัญชีเป็นบัญชีม้า และโอนไปให้นางสาวกบ ก่อนที่จะโอนให้แฟนทอมบอยของนางสาวกบ และทราบว่าเงินที่โอนให้ภรรยาเฮียหมูเป็นบัญชีม้าของนางสาวตาล ที่สนิทกับนางสาวกบมานานกว่า 10 ปี ซึ่งบัญชีที่อ้างเป็น หน.ศุลกากร ชื่อประวิทย์ ฤาชา ก็เป็นแฟนของนางสาวตาล
ซึ่งจากการที่ตนตามเช็กบัญชีม้าและหน้าม้า พบว่าทั้งหมดมี 12 รายส่วนใหญ่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนางสาวกบทั้งหมด จึงเข้าไปปรึกษาทนายและเข้าแจ้งความร้องทุกข์เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา