เชียงใหม่ - อธิบดีกรมธนารักษ์ นำคณะรับมอบคืนพื้นที่บ้านพักข้าราชการตุลาการศาลอุทธรณ์ภาค 5 เบื้องต้นในส่วนของบ้านพัก 45 หลัง ปลดล็อกเปิดทางให้ภาคประชาชนปลูกป่าฟื้นฟูผืนป่าดอยสุเทพ ส่วนอาคารชุดอีก 9 หลังรอดำเนินการลำดับต่อไป ขณะที่เครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ แสดงความพอใจและขอบคุณทางศาลที่ให้ความร่วมมือ เตรียมจัดพิธีเรียกขวัญดอยสุเทพและปลูกป่าฟื้นฟู ต้น มิ.ย.65 พร้อมขีดเส้นตาย 7 ก.ย.65 นัดเคลื่อนไหวใหญ่ทวงสัญญาขอคืนอาคารชุด 9 หลังที่เหลือ
วันนี้(27 เม.ย.) ที่โครงการบ้านพักข้าราชการตุลาการศาลอุทธรณ์ภาค 5 บนพื้นที่ราชพัสดุ 147 ไร่ เชิงดอยสุเทพ ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมธนารักษ์ และผู้บริหารศาลอุทธรณ์ภาค 5 เป็นตัวแทนทั้งสองหน่วยงาน ในการส่งมอบพื้นที่ในส่วนของบ้านพัก 45 หลัง พื้นที่ประมาณ 85 พร้อมด้วยครุภัณฑ์ต่างๆ จากศาลอุทธรณ์ภาค 5 คืนให้กับกรมธนารักษ์ โดยมีตัวแทนเครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ นำโดยนายธีระศักดิ์ รูปสุวรรณ ผู้ประสานงานเครือข่ายฯ ร่วมเป็นสักขีพยานและร่วมกันตรวจสอบพื้นที่ในส่วนของบ้านพัก 45 หลังและครุภัณฑ์ ก่อนที่จะมีการส่งมอบพื้นที่ด้วย ขณะที่ในส่วนของอาคารชุดที่เหลืออีก 9 หลัง จะมีการดำเนินการต่อไปตามลำดับ
นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวว่า การรับมอบพื้นที่คืนในครั้งนี้เบื้องต้นเพื่อเป็นการปลดล็อคให้สามารถดำเนินการบริหารจัดการพื้นที่และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ต่อไปตามลำดับ โดยจากนี้ทางคณะกรรมการระดับจังหวัดที่มีผู้แทนเครือข่ายฯ ร่วมอยู่ด้วย จะไปพิจารณาหารือร่วมกันเพื่อกำหนดรายละเอียดการดำเนินการต่างๆ ต่อไป ให้สอดคล้องตรงความต้องการของประชาชนในพื้นที่ที่เรียกร้อง และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทุกฝ่าย
ส่วนครุภัณฑ์ต่างๆ นั้น เมื่อรับมอบแล้วจากนี้มีการดำเนินการระเบียบ ทั้งตรวจสอบและตรวจนับ พร้อมส่งมอบให้ส่วนราชการต่างๆ ที่ต้องการนำไปใช้ประโยชน์ หรือหากไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ก็จำหน่ายออกไปตามระเบียบ สำหรับในส่วนของอาคารชุด 9 หลัง ที่เหลือนั้น จะดำเนินการในลำดับต่อไป
นายธีระศักดิ์ รูปสุวรรณ ผู้ประสานงานเครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ เปิดเผยว่า หลังจากที่ทางภาคประชาชนเรียกร้องมาเกือบ 4 ปี วันนี้รู้สึกดีใจที่ทางกรมธนารักษ์ได้ดำเนินการรับมอบคืนพื้นที่โครงการบ้านพักตุลาการศาลอุทธรณ์ภาค 5 แล้ว แม้เบื้องต้นจะเป็นในส่วนของบ้านพัก 45 หลัง พื้นที่ประมาณ 85 ไร่ ส่วนอาคารชุดอีก 9 หลัง จะดำเนินการต่อไป ซึ่งต้องขอบคุณทางศาลอุทธรณ์ภาค 5 ด้วย ที่ให้ความร่วมมือ ขณะที่ขั้นตอนจากนี้ทางเครือข่ายฯ วางแผนเบื้องต้นว่าอีกประมาณ 1 เดือน ประมาณช่วงต้นเดือน มิ.ย.65 จะนำประชาชนชาวเชียงใหม่ร่วมกันทำพิธีฮ้องขวัญ(เรียกขวัญ) ดอยสุเทพ และทำการปลูกป่าพื้นฟูสภาพป่าพื้นที่เชิงดอยสุเทพบริเวณนี้ให้สมบูรณ์ดังเดิม
ส่วนประเด็นเกี่ยวกับการรื้อถอนบ้านพักทั้งหมดนั้น นายธีระศักดิ์ กล่าวว่า ข้อเรียกร้องที่ผ่านมาของเครือข่าย ยืนยันให้ทำการรื้อถอน แต่ติดขั้นตอนและข้อกฎหมาย ซึ่งจะมีการหารือร่วมกันต่อไป ทั้งนี้ในที่สุดแล้วหากไม่สามารถรื้อถอนได้ ทางเครือข่ายฯ จะพิจารณาฟ้องศาลปกครองต่อไป เพื่อให้ปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง ซึ่งมีมติให้รื้อถอนทั้งบ้านพัก 45 หลัง และอาคารชุด 9 หลัง ออกไป
สำหรับอาคารชุด 9 หลัง ที่ยังไม่มีการส่งมอบคืนนั้น จะให้เวลาอีกประมาณ 4 เดือน ถึงวันที่ 7 ก.ย.65 ที่เป็นกำหนดที่ว่าจะย้ายออกไปหลังจากที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ที่จังหวัดเชียงราย ก่อสร้างเสร็จ ตามมติ ครม.ที่จังหวัดลำปาง ซึ่งแม้ในความเป็นจริงเวลานี้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ที่จังหวัดเชียงรายเพิ่งจะมีความคืบหน้าก่อสร้างไป10%เท่านั้น และไม่น่าเสร็จทัน แต่ทางเครือข่ายฯ จะขอยึดกำหนดเวลาดังกล่าว
ทั้งนี้ผู้ประสานงานเครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ ระบุด้วยว่า เบื้องต้นทางเครือข่ายฯ กำหนดด้วยว่าอาจจะนัดเคลื่อนไหวใหญ่ในวันที่ 7 ก.ย.65 เพื่อทวงสัญญาและเรียกร้องให้ผู้ที่อยู่อาศัยในอาคารชุดทั้ง 9 หลัง ทยอยย้ายออกไป และส่งมอบพื้นที่ดังกล่าวคืนเพื่อปลูกป่าฟื้นฟูผืนป่าเชิงดอยสุเทพที่ถือเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเชียงใหม่ให้กลับมาอุดมสมบูรณ์เหมือนเดิมและลบร่องรอยป่าแหว่งออกไปจาก
สำหรับการรื้อถอนบ้านพักดังกล่าวนั้น ปกติตามกฎระเบียบข้อกฎหมาย หากอาคารสิ่งปลูกสร้างถูกทิ้งร้าง10ปี สามารถรื้อถอนได้ อย่างไรก็ตามเบื้องต้นเตรียมขออนุญาตทำการรื้อถอนแท็งค์น้ำสูงนับสิบเมตรออกไปก่อน เพื่อลดทัศนอุจาด และเตรียมนำร่องทำการปลูกป่าในพื้นที่บ้านพัก 2 หลัง เพื่อเป็นตัวอย่างให้เห็นในระหว่างที่ยังไม่มีการรื้อ แต่จุดยืนหลักยังคงยืนยันให้รื้อ
รายงานข่าวแจ้งว่าในระหว่างการส่งมอบคืนพื้นที่ครั้งนี้ทาง ตัวแทนเครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ ได้มีการพูดคุยและให้ข้อเสนอแนะกับทางอธิบดีกรมธนารักษ์ เกี่ยวกับโครงการก่อสร้างบ้านคนไทยประชารัฐ จังหวัดเชียงใหม่ ที่อยู่ระหว่างเตรียมดำเนินการบนพื้นที่ราชพัสดุ 15 ไร่ ในตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่เชิงดอยสุเทพ เช่นกัน โดยแสดงความเป็นห่วงกังวลว่าการก่อสร้างอาคารชุดกว่า 1,000 ห้อง บนพื้นที่ดังกล่าวอาจจะเกิดศักยภาพของพื้นที่ในการรองรับและจะส่งผลกระทบในด้านต่างๆ ตามมา
พร้อมทั้งเรียกร้องว่าการดำเนินการโครงการควรบังคับใช้กฎหมายผังเมืองเหมือนกับโครงการปกติทั่วไป โดยไม่อาศัยข้อยกเว้นการเป็นโครงการของรัฐ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย นอกจากนี้มีข้อห่วงใยด้วยว่าท้ายที่สุดแล้วผู้ที่มีรายได้น้อยไม่น่าจะมีศักยภาพทางการเงินพอที่จะซื้อห้องชุดดังกล่าวได้ตามวัตถุประสงค์โครงการ แต่จะตกเป็นของกลุ่มผู้ที่มีกำลังซื้อนำไปเก็งกำไร จึงอยากให้พิจารณาทบทวนเกี่ยวกับโครงการนี้อย่างรอบคอบ ตลอดจนกำหนดบรรทัดฐานการใช้ประโยชน์พื้นที่ราชพัสดุที่อยู่ในรอยต่อดอยสุเทพให้ดี เพื่อไม่ให้ซ้ำรอยกรณี “บ้านป่าแหว่ง” อีก.