เชียงใหม่ - กลุ่มผู้เสียหายทั้งแม่ค้า, เจ้าของธุรกิจส่วนตัว และนักศึกษาฝึกงาน รวมตัวเข้าพบผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ร้องขอความเป็นธรรมดำเนินคดีฉ้อโกงประชาชนกับสาวแสบน้องสาวออแกไนเซอร์ชื่อดังเชียงใหม่ แอบอ้างเป็นเจ้าของจัดตลาดนัด ตุ๋นเหยื่อกว่า 30 รายลงทุนเป็นหุ้นส่วน ทำสูญเงินรวมกันหลายล้านบาท สุดท้ายโป๊ะแตกจนต้องยอมรับความจริง แต่ตีมึนไม่มีเงินคืนให้ แถมยังมีความพยายามหลอกเหยื่อรายใหม่เพิ่ม พบประวัติโชกโชน
วันนี้ (26 ม.ค.) ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ตัวแทนกลุ่มผู้เสียหาย ที่มีทั้งนักศึกษา, พนักงานบริษัท, เจ้าของธุรกิจส่วนตัว และแม่ค้าขายของ ซึ่งต่างได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักจากการถูก นางสาว ป.(นามสมมติ) อายุ 45 ปี ที่เป็นน้องสาวเจ้าของบริษัทออแกไนเซอร์ชื่อดังแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ หลอกลวงให้ร่วมลงทุนจัดตลาดนัด จนเกิดความเสียหายเป็นเงินรวมกันหลายล้านบาท นำเอกสารหลักฐานเข้าพบพลตำรวจตรี ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อร้องขอความเป็นธรรมและขอความช่วยเหลือในการดำเนินคดีต่อผู้ก่อเหตุในข้อหาฉ้อโกงประชาชน ซึ่งผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ได้มอบหมายให้พันตำรวจเอก ดำเนิน กันอ่อง รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ เป็นผู้แทนรับเรื่อง
โดยก่อนหน้านี้ผู้เสียหายแต่ละรายต่างคนต่างเริ่มทยอยเข้าแจ้งความกันบ้างแล้วในข้อหาฉ้อโกง อย่างไรก็ตามเกรงว่าการดำเนินคดีอาจจะเกิดความล่าช้าและกังวลใจว่าอาจจะไม่ได้รับความเป็นธรรม เนื่องจากทราบว่าพี่ชายของผู้ก่อเหตุเป็นเจ้าของบริษัทออแกไนซ์ชื่อดังที่มีความสนิทสนมรู้จักผู้หลักผู้ใหญ่เป็นอย่างดี อีกทั้งพบด้วยว่านางสาว ป.(นามสมมติ) ยังคงมีความพยายามหลอกลวงหาเหยื่อรายใหม่อยู่เรื่อยๆ จึงรวมตัวกันพร้อมรวบรวมหลักฐานอย่างละเอียดเข้าพบผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่เพื่อขอความช่วยเหลือในครั้งนี้ ไม่ให้นางสาว ป.(สมมติ) ไปก่อเหตุสร้างความเสียหายและสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นอีก
ทั้งนี้ กลุ่มผู้เสียหายให้ข้อมูลว่าพฤติการณ์ของนางสาว ป.(นามสมมติ) นั้นจะแอบอ้างและใช้ความน่าเชื่อถือของบริษัทพี่ชาย รวมทั้งความสนิทสนมหรือรู้จักกันเป็นการส่วนตัวกับผู้เสียหายแต่ละรายมาหลอกชักชวนให้ร่วมลงทุนทำธุรกิจจัดตลาดนัดด้วยกันเริ่มตั้งแต่ช่วงปี 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งนางสาว ป.(นามสมมติ) จะอ้างว่าสามารถไปเช่าเหมาพื้นที่ที่มีทำเลที่ตั้งน่าสนใจมาได้เพื่อจัดตลาดนัดและแบ่งเป็นบูทให้พ่อค้าแม่ค้ามาเช่าขายของ ต้องการผู้ร่วมลงทุนและมีผลตอบแทนที่ดีให้ จึงทำให้ผู้เสียหายแต่ละหลายหลงเชื่อนำเงินไปร่วมลงทุน โดยที่นางสาว ป.(นามสมมติ) จะรับทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลบริหารจัดการตลาดและเก็บค่าเช่าเองทั้งหมด แต่ปรากฏว่าเมื่อผ่านไปกลับไม่ได้ผลตอบแทน และเมื่อทวงถามก็มักจะอ้างเหตุผลไปต่างๆ นานา เช่น นำกำไรไปลงทุนซื้อของเพิ่มเพื่อปรับปรุงพัฒนาตลาด เป็นต้น
จนกระทั่งช่วงต้นเดือน ม.ค. 65 ผู้เสียหายแต่ละรายมีโอกาสได้พูดคุยกันโดยบังเอิญทำให้ทราบว่าตลาดนัดแต่ละแห่งที่นางสาว ป.(นามสมมติ) มาชักชวนให้ร่วมลงทุนนั้น นางสาว ป.(นามสมมติ) จะบอกกับทุกคนเหมือนกันหมดว่า แต่ละรายเป็นหุ้นส่วนกับนางสาว ป.(นามสมมติ) เพียง 2 คนเท่านั้น แต่ห้ามบอกคนอื่น และที่ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อตรวจสอบแล้วกลับพบด้วยว่า ตลาดนัดที่นางสาว ป.(นามสมมติ) ชักชวนให้ร่วมลงทุนนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นตลาดนัดของผู้จัดรายอื่นอีกต่างหาก โดยที่นางสาว ป.นำมาแอบอ้าง และทำให้ผู้เสียหายแต่ละรายเข้าใจผิดคิดไปเองมาโดยตลอดว่าตัวเองเป็นเจ้าของตลาดนัดดังกล่าว ซึ่งเมื่อทราบความจริงแล้วจึงได้พยายามติดตามทวงถามเงินคืนจากนางสาว ป.(นามสมมติ) แต่ได้รับคำตอบเหมือนกันว่ายังไม่มีคืนให้อย่างเดียว โดยเบื้องต้นพบว่ามีผู้เสียหายรวมกันแล้วประมาณ 30 ราย ความเสียหายของแต่ละรายเริ่มตั้งแต่หลักหมื่นบาทไปจนถึงหลักล้านบาท
ทั้งนี้ นางสาวแตงโม (นามสมมติ) อายุ 34 ปี อาชีพแม่ค้าขายของตลาดนัด ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เสียหาย เปิดเผยว่า รู้จักกับนางสาว ป.(นามสมมติ) มานานนับสิบปีจากการค้าขายในตลาดนัด โดยตัวเองได้รับความเสียหายเป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 500,000 บาท จากการถูกนางสาว ป.หลอกให้ร่วมลงทุนจัดตลาดนัดที่นางสาว ป.(นามสมมติ) ไม่ได้จัดขึ้นจริง โดยตัวเองมีหลักฐานเป็นสลิปการโอนเงินให้กับนางสาว ป.(นามสมมติ) เพื่อร่วมลงทุนหลายสิบครั้ง ตั้งแต่หลักพันบาทไปจนถึงเกือบแสนบาท ซึ่งเคยได้รับผลตอบแทนคืนบ้างเล็กน้อยเพียงไม่กี่ครั้ง แต่หลังจากนั้นมีการลงทุนเพิ่มไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งทราบความจริงและทวงถาม ซึ่งนางสาว ป.(นามสมมติ) ยอมรับว่าก่อเหตุจริง แต่ไม่มีเงินคืนให้ ทำให้ตัวเองและครอบครัวเดือดร้อนอย่างหนักเพราะมีภาระต้องเลี้ยงดูลูก 2 คน จึงอยากร้องขอความเป็นธรรมและดำเนินคดีจนถึงที่สุด เพื่อไม่ให้ไปก่อเหตุกับผู้อื่นอีก เพราะทราบว่าเมื่อหลายปีก่อนนางสาว ป.(นามสมมติ) เคยก่อเหตุหลอกลวงขายโทรศัพท์ไอโฟนและถูกดำเนินคดีมาแล้ว แต่ไม่เข็ดหลาบและยังมาก่อเหตุอีก
ขณะเดียวกัน นายต้น (นามสมมติ) อายุ 22 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้เสียหายอีกรายหนึ่ง เปิดเผยว่า ตัวเองได้รับความเสียหายจากการถูกหลอกร่วมลงทุนทำตลาดนัดเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 35,000 บาท โดยเป็นเงินส่วนตัวที่เก็บสะสมมาได้จากการทำงานส่งตัวเองเรียนหนังสือ รวมทั้งเงินที่หยิบยืม และรวบรวมจากกลุ่มเพื่อนมาร่วมลงทุนด้วยกัน ซึ่งหลงเชื่อเพราะว่าไปทำงานพาร์ตไทม์กับหลานสาวของนางสาว ป.(นามสมมติ) จนสนิทสนมกัน และกำลังจะเข้าฝึกงานในบริษัทออแกไนเซอร์ของพี่ชายนางสาว ป.(นามสมมติ) จึงเชื่อถือ แต่ต่อมาทราบความจริงและได้ทวงถาม ซึ่งนางสาว ป.(นามสมมติ) ยอมรับความจริง แต่อ้างว่าไม่มีเงินคืนให้ และเกลี้ยกล่อมว่าไม่ให้แจ้งความดำเนินคดี โดยบอกว่าหากติดคุกจะหาเงินมาคืนให้ไม่ได้ ซึ่งบอกกับนางสาว ป.(นามสมมติ) แล้วว่าตัวเองเดือดร้อนอย่างหนัก เพราะไม่เหลือเงินใช้จ่ายและชำระค่าหอพักแล้ว แต่ยังนิ่งเฉย จึงต้องเข้าแจ้งความต่อทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อขอความช่วยเหลือ
นอกจากนี้ผู้เสียหายอีกรายหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้จัดตลาดนัดหลายแห่งในจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า หลังจากที่กลุ่มผู้เสียหายเริ่มพูดคุยและรวมตัวกัน ทำให้ทราบนางสาว ป.(นามสมมติ) นำชื่อตลาดนัดที่ตัวเองเป็นผู้จัดไปแอบอ้างว่านางสาว ป.(นามสมมติ) เป็นผู้จัดและหลอกลวงชักชวนผู้อื่นมาร่วมลงทุน ทั้งที่ความจริงแล้วนางสาว ป.(นามสมมติ) เป็นเพียงแม่ค้ารายหนึ่งที่มาเช่าบูทขายของในตลาดนัดเท่านั้น ทำให้มีข้อมูลแผนผังและรายละเอียดการจัดงาน นำไปใช้เป็นข้อมูลสร้างความน่าเชื่อถือในการหลอกลวงเหยื่อ อีกทั้งยังมีการนำเลขบัญชีธนาคารของตัวเองไปใช้หลอกให้เหยื่อโอนเงินด้วย โดยจะไปหลอกเหยื่อว่าให้โอนเงินเข้าบัญชีเพื่อร่วมลงทุน แต่ความจริงแล้วเป็นค่าเช่าบูทของนางสาว ป.(นามสมมติ) ที่ต้องโอนให้กับทางตลาดนัด ซึ่งเมื่อทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว จึงเข้าร่วมกลุ่มผู้เสียหายยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมและแสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับนางสาว ป.(นามสมมติ) รวมทั้งอยากให้ดำเนินการตามกฎหมาย เพื่อไม่ให้นางสาว ป.(นามสมมติ) ไปก่อเหตุซ้ำซากเรื่อยๆ
ด้านพันตำรวจเอก ดำเนิน กันอ่อง รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า เบื้องต้นได้รับข้อมูลและรายละเอียดหลักฐานจากทางกลุ่มผู้เสียหายไว้ จากนี้จะเร่งทำการตรวจสอบอย่างละเอียดว่าการกระทำของผู้ก่อเหตุเข้าข่ายความผิดใดและอย่างไรบ้าง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ซึ่งจะเข้าข่ายฉ้อโกงประชาชนหรือไม่ จะมีการพิจารณาตามพยานหลักฐาน โดยกรณีนี้ที่ปรากฏว่ามีผู้เสียหายจากผู้ก่อเหตุรายนี้เป็นจำนวนมาก ทางผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่จะมีการพิจารณาสั่งการให้ตั้งคณะพนักงานสอบสวนของตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ขึ้นมาเพื่อรับผิดชอบดูแลคดีนี้โดยเฉพาะ และให้ผู้เสียหายสามารถเข้ามาพบเพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษได้ที่ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ยืนยันว่าจะเร่งดำเนินการและให้ความเป็นธรรมแก่ทุกคนอย่างแน่นอน