กาญจนบุรี - หัวหน้าอุทยานฯ ทองผาภูมิ เข้าแจ้งความพนักงานสอบสวน สภ.ปิล๊อก นานกว่า 5 ชม. จี้ตามจับนายพรานใจบาป หลังล่าเสือโคร่งเพศผู้-เมีย ก่อนทิ้งอาวุธปืนของกลางเผ่นหนี คาดเป็นคนในพื้นที่ร่วมมือกับคนนอกพื้นที่ ขณะที่เตรียมเก็บตัวอย่างซากเสือส่งตรวจ DNA
ความคืบหน้ากรณีที่ นายเจริญ ใจชน หัวหน้าอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี สั่งการให้พนักงานพิทักษ์ป่าอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ออกลาดตระเวนตรวจปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับการป่าไม้ในเขตอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ตามนโยบายของผู้บังคับบัญชา เป็นเวลา 4 วัน 3 คืน โดยก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากสายข่าวว่าจะมีกลุ่มบุคคลเข้าไปลักลอบล่าสัตว์ป่าในเขตอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ที่มีพื้นที่ชายแดนติดกับประเทศพม่า
จนกระทั่งเวลา 10.00 น. ของวันที่ 9 ม.ค.เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าได้ลาดตระเวนไปถึงป่าลำห้วยปิล๊อก หมู่ 4 ต.ปิล๊อก อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี อยู่ห่างจากเขตชายแดนไทย-พม่า ประมาณ 3-4 กิโลเมตร เจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบกลุ่มควันไฟมาจากลำห้วย จึงทำการซุ่มเข้าตรวจสอบ พบกลุ่มบุคคล จำนวน 5 คน ตั้งแคมป์อยู่ริมลำห้วย ระหว่างเข้าทำการจับกุมตัวนั้น ปรากฏว่า สุนัขของกลุ่มคนร้ายที่ใช้นำทางเห่าขึ้นมาเสียก่อน ทำให้กลุ่มบุคคลดังกล่าวไหวตัวและวิ่งหลบหนีเข้าป่าไป ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้พยายามวิ่งไล่ติดตามแต่ไม่ทัน เนื่องจากกลุ่มบุคคลเหล่านั้นชำนาญเส้นทางเป็นอย่างดี
จากการตรวจสอบบริเวณโดยรอบแคมป์ เจ้าหน้าที่ทุกนายต่างรู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากพบว่าเสือโคร่งถูกยิงเสียชีวิต จำนวน 2 ตัว แล้วแล่เอาเนื้อมาย่างไฟ ส่วนหนังของเสือโคร่งทั้ง 2 ตัว ถูกนำมาขึงให้แห้ง นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังพบอาวุธปืน จำนวน 4 กระบอก พร้อมอุปกรณ์ต่างๆ อีกจำนวน 29 รายการ ตกอยู่ที่แคมป์ และจากการตรวจสอบโดยรอบพบซากวัว จำนวน 1 ตัว ถูกนำมาผูกเอาไว้กับต้นไผ่ สำหรับเอาไว้เป็นเหยื่อล่อเสือโคร่งให้มากินเป็นอาหาร ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุด นายเจริญ ใจชน หัวหน้าอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ได้นำหลักฐานที่มีอยู่ทั้งหมด เข้าพบ ร.ต.อ.สองนคร เครือแสง พนักงานสอบสวน สภ.ปิล๊อก อ.ทองผาภูมิ เพื่อให้ติดตามหาตัวกลุ่มผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมให้สืบสวนกรณีที่ นายป้อม ทองผาประวิตร โทร.หาเจ้าหน้าที่อุทยานฯ เพื่อขออาวุธปืนลูกซอง 5 นัด ยี่ห้อวินเชสเตอร์ หมายเลขประจำปืน 1526415 ซึ่งเป็นอาวุธปืนของกลางในคดีคืนจากเจ้าหน้าที่ โดยแจ้งว่าอาวุธปืนกระบอกดังกล่าวนั้นเป็นของ นายบุญถิ่น จันทร์เขต เจ้าหน้าที่ อปพร.เพื่อหาข้อเท็จจริงว่าบุคคลที่แอบอ้างนั้นมีตัวตนจริงหรือไม่ และมีความเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดในครั้งนี้หรือไม่
โดยนายเจริญ ใช้เวลาให้ข้อมูลต่อพนักงานสอบสวนนานกว่า 5 ชั่วโมง จึงแล้วเสร็จ ก่อนจะออกมาเปิดเผยว่า จากการตรวจสอบซากเสือโคร่งทั้ง 2 ตัว เบื้องต้นพบว่า ตัวหนึ่งเป็นเพศผู้ น้ำหนักประมาณ 80 กิโลกรัม และอีกตัวหนึ่งเป็นเพศเมีย น้ำหนักประมาณ 50 กิโลกรัม คาดว่าผู้ลักลอบกระทำผิดน่าจะฆ่าเพื่อนำออกมาจำหน่ายยังพื้นที่ด้านนอก
ทั้งนี้ จากข้อมูลการวิจัยไม่ปรากฏว่า เสือโคร่งมีถิ่นที่อยู่อาศัยในพื้นที่อุทยานฯ ทองผาภูมิ มาก่อน จึงได้ประสานงานกับ นายสมโภชน์ ดวงจันทราศิริ หัวหน้าสถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเสือโคร่งทำการตรวจสอบลายของเสือ เพื่อจะได้ทราบว่าเสือทั้ง 2 ตัวมาจากพื้นที่ใด ส่วนความคืบหน้าของคดี ทางพนักงานสอบสวนได้รับเรื่องไปดำเนินคดีแล้ว เชื่อว่าหลักฐานที่มีอยู่ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะสามารถติดตามตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีโดยเร็วอย่างแน่นอน ซึ่งคาดว่าจะเป็นคนในพื้นที่ร่วมมือกับคนนอกพื้นที่ในการกระทำผิดครั้งนี้
ส่วนกรณีอาวุธปืนของกลา ที่มีบุคคลอ้างว่า เป็นของเจ้าหน้าที่ อปพร.นั้น ในเรื่องนี้เป็นอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะประสานไปยังผู้ที่ถูกกล่าวอ้าง เพื่อเชิญตัวมาให้ข้อมูลข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว ว่ามีความเกี่ยวข้อง หรือเชื่อมโยงกับการกระทำผิดดังกล่าวหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ในวันพรุ่งนี้เจ้าหน้าที่จะได้ทำการเก็บตัวอย่างซากเสือโคร่งทั้ง 2 ซาก ส่งไปตรวจ DNA ที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ อย่างละเอียด เพื่อให้ทราบว่าเสือทั้ง 2 ตัวมีอายุประมาณเท่าไหร่ และถูกยิงด้วยอาวุธปืนชนิดใด เพื่อใช้เป็นหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์เพื่อเอาผิดกับผู้กระทำผิดต่อไป