เชียงราย - ปลายฝนต้นหนาว ทะเลหมอกเคล้ายอดดอย วิถีชาติพันธุ์อาข่ายังเต็มเปี่ยม..“บูซอ โฮมสเตย์ผู้หญิงที่มีกลิ่นหอม” กลางไร่กาแฟจุดสูงสุดดอยผาหมี เห็นทิวทัศน์ไกล 3 ประเทศสามเหลี่ยมทองคำ ฝ่าโควิดเปิดแล้ว
วันนี้..สภาพอากาศพื้นที่เชียงรายเริ่มเย็นลงสลับกับฝนโปรย ผืนป่าบนเขาสูงเขียวชะอุ่ม กลางหมอกฝนปนหนาวและทะเลเมฆที่ลอยเคล้าตามยอดดอย ซึ่งแม้ว่า การระบาดของไวรัสโควิด-19 จะยังคงมีอยู่ แต่ด้วยสถานการณ์ที่เบาบางลงและมีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ทำให้เริ่มมีนักท่องเที่ยวเฟ้นหามนต์เสน่ห์ของขุนเขาห้วงปลายฝนต้นหนาวกันบ้างแล้ว
หนึ่งในสถานที่ที่ไม่ควรพลาดสำหรับผู้ที่หลงใหลและต้องการเรียนรู้ประวัติศาสตร์การฟื้นฟูป่าสมัยรัชกาลที่ ๙ นักท่องเที่ยวนิยมเข้าไปใช้บริการนั่งจิบกาแฟและชาพันธุ์ดี ผู้ชื่นชอบความเป็นอัตลักษณ์กลุ่มชาติพันธุ์อาข่า และที่สำคัญคือ ชอบธรรมชาติของขุนเขาอันงดงาม คือ "บูซอ โฮมสเตย์" เลขที่ 51/5 หมู่บ้านผาหมี หมู่ 6 ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จ.เชียงราย หรือ "โฮมสเตย์ผู้หญิงที่มีกลิ่นหอม" ที่ตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของผาหมีหรือประมาณ 850 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง
โดย น.ส.กาญจนา เขมะวงศ์ ผู้ดูแลบูซอโฮมสเตย์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกสะใภ้ของนายมนตรี พฤกษาพันธุ์ทวี หรือเรียกกันติดปากว่า “พ่อหลวงซาเจ๊ะ หม่อโม๊ะกู่ อดีตผู้ใหญ่บ้านผาหมี” ผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาแต่อดีต ได้ใช้ชื่ออาข่าของเธอ คือ "บูซอ" ที่มีความหมายว่าผู้หญิงที่มีกลิ่นหอม ตั้งเป็นชื่อของโฮมสเตย์แห่งนี้
บูซอ หรือ น.ส.กาญจนา เล่าว่าเดิมพื้นที่ตั้งบูซอ โฮมสเตย์ เป็นหมู่บ้านผาหมีที่มีมาตั้งแต่ดั้งเดิม กระทั่งในหลวงรัชกาลที่ ๙ เสด็จพระราชดำเนินมาหมู่บ้านผาหมีครั้งแรกเมื่อปี 2513 ก็ทรงแนะนำให้ย้ายไปอยู่ ณ ที่ตั้งของหมู่บ้านในปัจจุบันเพราะจุดเดิมอยู่ติดกับชายแดนมากเกินไป ชาวบ้านจึงย้ายลงไปกันหมดและทิ้งที่เดิมไว้เป็นไร่สวนทางการเกษตร
ต่อมามีการส่งเสริมการปลูกพืชเกษตรต่างๆ ทำให้ชาวบ้านเดินทางจากหมู่บ้านมาทำการเกษตรเป็นประจำ รวมถึงครอบครัวของพวกเราที่มีที่ดินทำกินเดิมอยู่ประมาณ 108 ไร่ ซึ่งปลูกกาแฟ แมคคาเดเมีย ฯลฯ และเมื่อจะออกจากหมู่บ้านคนในหมู่บ้านก็มักจะแซวว่าไปสวนไปไร่อีกแล้ว ทำให้คิดว่าจะสร้างที่พักบนที่ดินเดิมไว้ใช้พักชั่วคราว
น.ส.กาญจนากล่าวว่า กระทั่งกระแสการท่องเที่ยวมาแรงและมีผู้คนเดินทางมาเที่ยวเชียงราย รวมถึงดอยผาหมีมากขึ้นเรื่อยๆ จึงได้ตัดสินใจสร้างเป็นโฮมสเตย์ โดยใช้ชื่อของตนดังกล่าว เริ่มเปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อเดือน พ.ค. 2560 มีห้องพัก 4 ห้อง เป็นห้องขนาด 2-3 คน ขนาด 4-5 คน และมีห้องสำรองอีก 1 ห้อง
ซึ่งทางเราคิดราคาช่วงปกติคืนละ 900 บาท และช่วงฤดูท่องเที่ยวหรือไฮซีซัน 1,200 บาท ช่วงก่อนที่จะมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 ห้องพักแทบจะเต็มเกือบทุกวัน โดยเฉพาะในฤดูหนาว เพราะจุดที่ตั้ง “บูซอ โฮมสเตย์” ทิวทัศน์ดีมากสามารถมองเห็นได้ถึง 3 แผ่นดิน คือ ไทย เมียนมา และสามเหลี่ยมทองคำฝั่ง สปป.ลาว
อย่างไรก็ตาม หลังเกิดวิกฤตโควิด-19 ทำให้สภาพซบเซาแทบจะไม่มีคนมาเที่ยว แต่พวกเราก็ไม่ได้ย่อท้อ เพราะใช้ชีวิตตามแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ ๙ มาตลอด จึงทำการเกษตรส่งขายเมล็ดพันธุ์กาแฟพันธุ์อะราบิกา แมคคาเดเมีย ฯลฯ รวมทั้งนำผลผลิตดังกล่าวมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ขายให้นักท่องเที่ยว ส่วนคนงานในโฮมสเตย์ต่างก็เป็นลูกหลานที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ทำให้ไม่ต้องออกจากงานไปไหน
ปัจจุบันหลังจากสถานการณ์เริ่มมีแนวโน้มว่าจะดีขึ้นและมีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ทำให้เริ่มมีนักท่องเที่ยวโทรศัพท์มาสอบถามข้อมูลและสั่งจอง รวมทั้งเริ่มมีคนทยอยมาเที่ยวกันบ้างแล้ว จึงคาดหวังว่าทุกอย่างน่าจะดีขึ้นตามลำดับ ซึ่งทางผู้ประกอบการก็ได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการระบาดอย่างเข้มงวด ทั้งการเข้มงวดเรื่องการทำความสะอาด การสวมใส่หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ การวัดอุณหภูมิ การลงชื่อผู้ไปเยือน ฯลฯ
ล่าสุดนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรม จ.เชียงราย ได้นำคณะภาครัฐและเอกชนเดินทางไปเยือนบูซอ รีสอร์ท ตามเส้นทางสายวัฒนธรรมในกิจกรรม Familiarization Trip (FAM Trip) ในโครงการพัฒนากลุ่มท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนาและกลุ่มชาติพันธุ์ภาคเหนือ ซึ่งบ้านผาหมีเป็น 1 ใน 12 ชุมชนชาติพันธุ์ของ 8 จังหวัดภาคเหนือ 12 ที่กระทรวงวัฒนธรรมได้คัดเลือกด้วย
สำหรับการเดินทางเข้าถึง “บูซอ โฮมสเตย์” นั้น คนที่ขึ้นไปเที่ยวบ้านผาหมี จิบชิมกาแฟตามร้านต่างๆ เช่น ภูฟ้าซาเจ๊ะ ฯลฯ ก็สามารถเดินทางไปตามถนนไหล่เขาภายในหมู่บ้าน ขึ้นสูงไปเรื่อยๆ พ้นจากหมู่บ้านไปเพียงประมาณ 1 กิโลเมตรก็จะมีป้ายบอกทาง ไปตามถนนเลียบชายแดนไทย-เมียนมา เมื่อถึงจุดสูงสุดก็จะเป็นโฮมสเตย์ที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของบ้านผาหมี แม่สาย ขุนเขา รวมไปถึงบ้านเรือน ทุ่งนา ไปจนถึงเขต จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา และมองไกลถึงเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ได้