การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกล่าสุดนี้ ก่อความรุนแรงอย่างกว้างขวาง เดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ซึ่งในยามวิกฤตแบบนี้คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จับมือร่วมแรงร่วมใจ ใครพอทำอะไรได้ ช่วยอะไรไหวก็ทำตามกำลังที่มี
ไม่เว้นแม้แต่เซเลบฝ่ายการเมือง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อย่าง “บิ๊กอู๋” พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ที่วันก่อนมีตาดีแอบไปเห็นมาว่า กำลังซุ่มทำอะไรสักอย่างแบบเงียบๆ แต่พันธมิตรเพียบนะจ๊ะ
งานนี้สืบไปสืบมาได้ความว่า บิ๊กอู๋กำลังลงมือลงแรงแข็งขันลุยทำโรงพยาบาลสนามอย่างจริงจัง ที่จังหวัดนครพนมบ้านเกิด จนเป็นรูปเป็นร่าง เกือบจะเปิดใช้งานได้ในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว
ก็อย่างที่บอกไป งานนี้ถึงจะทำกันเงียบๆ แต่พันธมิตรก็เพียบจ้า ก็แหม แค่ได้ยินชื่อว่าเป็นบิ๊กอู๋ ใครๆ ก็รู้ว่าแกเป็นคนจริงขนาดไหน ทำอะไรทำจริง มีความมุ่งมั่น ตั้งใจ และจริงใจ ก็ไม่แปลกที่ใครๆ จะเทใจให้ และพร้อมจะลุยทำโปรเจกต์ให้สำเร็จทุกประการ
ยิ่งเป็นงานบุญแบบนี้ด้วยแล้ว ใครๆ ก็ยิ่งอยากช่วย เพราะได้สร้างประโยชน์เพื่อส่วนรวมที่เห็นทันตา อะไรๆ ที่หนักหนาสาหัสก็จะเบาสบายผ่อนคลายลงได้ เรียกว่าเมตตาธรรมค้ำจุนโลก สามารถเปลี่ยนชะตาฟ้าลิขิตก็ว่าได้ จึงได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งหน่วยราชการ ภาคเอกชน ตลอดจนชุมชนในจังหวัดนครพนม เช่น สาธารณสุขจังหวัดนครพนม มหาวิทยาลัยนครพนม ตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม หอการค้าไทย-จีน มูลนิธิ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ปตท. เครือเจริญโภคภัณฑ์ วิริยะประกันภัย
สำหรับรายละเอียดของโครงการคือ เป็นโรงพยาบาลอเนกประสงค์ ในชื่อโรงพยาบาลสนามมหาวิทยาลัยนครพนม ตั้งเจตนาไว้ให้รองรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่ล้นเตียงจากโรงพยาบาลหลักและโรงพยาบาลสนาม และเพื่อพี่น้องชาวนครพนม ที่มีความประสงค์จะกลับเข้ามารับการรักษาที่ภูมิลำเนา โดยใช้อาคารเรียนรวมของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม เขตพื้นที่มรุกขนคร (บ้านเนินสะอาด) เป็นสถานที่จัดตั้งโรงพยาบาล สามารถรองรับผู้ป่วยได้ 200-300 เตียง มีอาหารให้บริการครบ 3 มื้อ ได้รับการสนับสนุนจากผู้ประกอบภาคเอกชน รวมถึงเครือเจริญโภคภัณฑ์ และมีการติดตามเฝ้าสังเกตการณ์จากทีมแพทย์ พยาบาล ผ่านระบบกล้องวงจรปิด
โรงพยาบาลแห่งนี้ยังถือเป็นโรงพยาบาลอเนกประสงค์แห่งแรกของจังหวัดนครพนม และเป็นหนึ่งเดียวในประเทศไทย คาดว่าจะสามารถเปิดใช้อาคารได้ในวันที่ 5 สิงหาคม 2564
ได้เห็นข่าวแบบนี้แล้วชื่นใจ ลงไม้ลงมือทำกันจริง ไม่มีโฆษณา ให้ไปเห็นกันเอง ไม่ใช่สักแต่ดรามาวิพากษ์วิจารณ์คนทำงานไปวันๆ ถ้าคนในสังคมส่วนใหญ่เป็นแบบนี้ ไม่นิ่งดูดาย พร้อมลุย พร้อมช่วยกันเต็มที่เสมอ ไม่ว่าวิกฤติแบบไหนมา เราก็รอดได้หมด
…แอบเห็นบางหน่วยงานหน้าคุ้น ชื่อคุ้น วิกฤตทีไรเห็นออกมาช่วยทุกที อย่างนี้สิถึงจะเรียกว่าของจริง ทำจริง คนละไม้ คนละมือ ที่แท้ทรู!!