xs
xsm
sm
md
lg

(คลิป)"ใหญ่ ครัวเซิร์ฟ" มากกว่าคำว่าโค้ชทีมชาติกับผลงานนักกีฬาวินด์เซิร์ฟไทยลุยศึกโอลิมปิก 2020

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์





หากมองย้อนถึงความสำเร็จของสมาคมกีฬาวินเซิร์ฟแห่งประเทศไทยที่ในวันนี้สามารถส่ง 2 นักกีฬาโต้คลื่นลุยศึกโอลิมปิก 2020 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นในช่วงเดือน ส.ค.2564 ได้เป็นผลสำเร็จ คงต้องบอกว่าส่วนหนึ่งเกิดจากความสามารถในฝ่าฟันอุปสรรคของชายคนหนึ่งที่เป็นมากกว่าเลขาธิการสมาคมกีฬาวินด์เซิร์ฟแห่งประเทศไทย


โดยชายผู้นี้มีความผูกพันกับทั้งโค้ชและทัพนักกีฬาวินด์เซิร์ฟในทุกรุ่นมานานกว่า 40 ปี จนได้รับการเรียกขานด้วยความรักและผูกพันว่า “ลุงใหญ่” ที่ได้ทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ รวมทั้งกำลังทรัพย์ให้สมาคมฯ และนักกีฬา จนสามารถพัฒนาศักยภาพได้ดีจนเป็นที่ยอมรับ

และที่ผ่านมา แม้จะหมดฤดูการฝึกซ้อมและแข่งขัน “ลุงใหญ่” ผู้นี้ยังใช้ “ร้านอาหารครัวเซิร์ฟ” ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว ที่ตั้งอยู่ริมชายหาดจอมเทียนให้เป็นบ้านหลังที่ 2 ของนักกีฬาเพื่อใช้เป็นร่มเงาในการกิน อยู่ สังสรรค์ และในบางครั้งยังใช้เป็นสถานที่เก็บตัวก่อนการแข่งขันรายการต่างๆ


“ลุงใหญ่” หรือนายพัฒนา บุญสวัสดิ์ เลขาธิการสมาคมกีฬาวินด์เซิร์ฟแห่งประเทศไทย คือบุคคลที่เราเอ่ยถึงและยังเล่าประวัติที่น่าสนใจของตนเองให้ฟังว่า ได้เริ่มเข้ามาคลุกคลีกับกีฬาวินด์เซิร์ฟ ตั้งแต่ปี 2522

หลังจากต้องผิดหวังจากการเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรี ที่เทคโนโลยีราชมงคลเทเวศร์ สาขาครุศาสตร์เขียน ที่สู้อุตสาห์สอบเข้าเรียนจนได้แต่เพราะปัญหาทางการเงินของครอบครัวทำให้ตัดสินใจมุ่งมั่นเดินทางมาสู่เมืองพัทยา

โดยมีเป้าหมายการทำงานภายในร้านอาหารริมชายหาดจอมเทียน เพื่อหาโอกาสที่จะได้เล่นกีฬาทางน้ำทั้งวินด์เซิร์ฟ และเรือใบ ซึ่งเป็นกีฬาที่ชื่นชอบมานาน แม้พื้นเพเดิมจะอยู่ใน จ.ปราจีนบุรี ซึ่งไม่มีพื้นที่ติดทะเลก็ตาม

“วิธีที่จะได้เล่นกีฬาทางน้ำในครั้งนั้นคือการทำงานเพื่อแลกกับการอยู่ฟรีกินฟรี และหลังจากนั้นอีกเพียง 2 ปี แม่ตัดสินใจซื้อที่แปลงเล็กๆ ริมชายหาดจอมเทียนเพื่อพาครอบครัวย้ายถิ่นฐานมาที่เมืองพัทยา และเราเองได้เล่นกีฬาวินด์เซิร์ฟอย่างเต็มตัว”

กระทั่งได้รู้จักกับสมาคมกีฬาวินด์เซิร์ฟแห่งประเทศไทย เนื่องจากในอดีตนักกีฬาวินด์เซิร์ฟทั้งชาวไทย และต่างชาติมักจะใช้พื้นที่ชายหาดจอมเทียน เป็นสถานที่เล่นกีฬา ฝึกซ้อม และแข่งขันอยู่เป็นประจำ


“ลุงใหญ่” บอกว่า นี่เองคือจุดเริ่มต้นของการเข้ามาเป็นกรรมการสมาคมฯ และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเลขาธิการสมาคมฯ ตั้งแต่ปี 2535 จนถึงปัจจุบัน

โดยการเข้าดูแลสมาคมฯ ในช่วงแรกเป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะอาหารการกินแต่ละมื้อนักกีฬาในครั้งนั้นจะได้รับเพียงข้าวพร้อมกับข้าว 1 ถุง ไม่มีเรื่องของหลักโภชนาการและการสนับสนุนด้านอุปกรณ์แข่งขันเพราะขาดแคลนงบประมาณในการจัดซื้อ

จึงจำต้องใช้อุปกรณ์ที่มีเก่าสภาพทรุดโทรม ขณะที่อุปกรณ์บางประเภทเหลือเพียงแค่โครงเหล็กที่ต้องนำมาซ่อมแซมกันเอง

ต่อมา เมื่อมีโอกาสได้เห็นรูปแบบการบริหารทีมจากโค้ชชาวจีน ซึ่งถือเป็นทีมที่แข็งแกร่งและมีแนวทางที่ชัดเจนจนเป็นเจ้าเหรียญทองในกีฬาดังกล่าว ทำให้มีแนวทางในการอยู่ร่วมกันระหว่างโค้ชกับนักกีฬา

ประกอบกับเมื่อบุตรชายคนเล็กเริ่มให้ความสนใจในกีฬาวินด์เซิร์ฟ ยิ่งทำให้ “ลุงใหญ่” เกิดความซึมซับในการดูแลทัพนักกีฬาเสมือนคนในครอบครัว จึงได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาศักยภาพทั้งด้านอาหารและความเป็นอยู่


“ลุงใหญ่” บอกว่า นักกีฬาวินด์เซิร์ฟส่วนใหญ่เป็นเยาวชนที่อยู่พื้นที่เมืองพัทยา จึงสามารถพัฒนาการฝึกซ้อมได้ทุกวันจนสามารถสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ในสายตาผู้ชื่นชอบกีฬาทางน้ำได้อย่างต่อเนื่อง

“แต่อุปสรรคของเราในช่วง 12 ปีที่ผ่านมาคือ แม้นักกีฬาจะสามารถคว้าตั๋วเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกได้ทุกครั้งแต่ไม่เคยได้รับโอกาสในการเดินทางเข้าร่วมแข่งขัน เพราะขาดเงินทุนสนับสนุน”

กระทั่งเมื่อประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเอเชียนเกมส์ครั้งแรกในปี 2540 และได้จัดให้มีการแข่งขันกีฬาทางน้ำที่บริเวณชายหาด หน้าโรงแรมพัทยาปาร์ค ซึ่งกีฬาวินด์เซิร์ฟมีโปรแกรมลงชิงชัยถึง 3 เหรียญทอง

“ด้วยความที่อยากจะเอาชนะประเทศจีนซึ่งเป็นเจ้ากีฬาชนิดนี้ให้ได้ ในครั้งนั้นพยายามทำทุกวิถีทางที่จะปรับปรุงทีมอย่างจริงจังถึงขั้นเข้ามาดูแลนักกีฬาทั้งเรื่องการฝึกซ้อม อาหาร การออกกำลังกาย การหลับนอนจนแทบไม่มีเวลาให้ครอบครัว และในที่สุดนักกีฬาไทยก็สามารถคว้าเหรียญรางวัลมาได้หมดทุกเหรียญ”

โดยนักกีฬาที่สามารถสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งประเทศในครั้งนั้นและยังถือเป็นความภาคภูมิใจแรกของสมาคมฯ คือ อรัญ หอมระรื่น สุไฮนี มูฮัมหมัดกาเซ็ม และกู้เกียรติ สกุลแฟง


และเมื่อผลสำเร็จมาถึงกำลังใจในการพัฒนานักกีฬาให้ประสบความสำเร็จในชั้นที่สูงขึ้นเรื่อยของ “ลุงใหญ่” ยิ่งมีมากขึ้นภายใต้อุดมการณ์ในการทำงานคือ หากได้ลงมือทำอะไรแล้วจะทำให้ดีและเกิดผลสำเร็จ ทุ่มเทกับหน้าที่โดยแบ่งแยกทำได้ทุกอย่างตั้งแต่เป็นโค้ชจนถึงพ่อครัว

จนในวันนี้สามารถสร้างนักกีฬาทีมชาติที่มีชื่อเสียงในกีฬาชนิดนี้ได้หลายคน และ ''ดาว'' ศิริพร แก้วดวงงาม คือ 1 ในนักกีฬาวินด์เซิร์ฟสาวทีมชาติไทยที่สร้างชื่อเสียงให้ตนเองและประเทศในหลายการแข่งขัน และบอกเล่าถึงการเข้าสู่วงการกีฬาวินด์เซิร์ฟของตนเองว่า เริ่มจากเด็กที่ไม่เคยรู้จักว่ากีฬาวินด์เซิร์ฟคืออะไร

โดยรู้แต่เพียงว่าเป็นกีฬาที่เล่นกับทะเล แต่เมื่อได้ลองสัมผัสจึงเกิดความรัก โดยเฉพาะเมื่อได้รู้จักกับ “ลุงใหญ่” ที่เฝ้าดูแลเป็นอย่างดีมานานกว่า10 กว่าปี ยิ่งอยากที่จะพัฒนาฝีมือด้านการกีฬาจนมีโอกาสได้เข้าร่วมการแข่งขันยูธโอลิมปิก ซึ่งเป็นการแข่งขันครั้งแรกในชีวิตจนกระทั่งสามารถคว้าชัยชนะมาครองได้สำเร็จ

“ปัจจุบันบอกได้เลยว่ากีฬาวินด์เซิร์ฟสร้างอนาคตให้ตัวเองและครอบครัว และยังสานฝันของเด็กคนหนึ่งให้เป็นจริง”


เช่นเดียวกับ "โอ๊ต" ณัฐพงษ์ โพธิ์นพรัตน์ นักกีฬาวินด์เซิร์ฟทีมชาติไทย บอกว่าตนเองคือเด็กคนหนึ่งที่อาศัยอยู่บริเวณชายหาดจอมเทียนเนื่องจากครอบครัวเปิดร้านอาหาร จึงทำให้ได้เห็นการฝึกซ้อมของนักกีฬาวินด์เซิร์ฟจนชินตา

และเมื่อได้รับการชักชวนจาก “ลุงใหญ่” ให้เข้าสู่วงการกีฬานี้จนสามารถเปลี่ยนสภาพร่างกายที่ผอมแห้งจนไม่มีแรงในการควบคุมใบเรือ สู่เป้าหมายของการเป็นนักกีฬาวินด์เซิร์ฟทีมชาติไทยได้อย่างเต็มตัว

ส่วน “ยิม” นาวิน สิงสาท เล่าถึงความประทับใจกับสมาคมกีฬาวินด์เซิร์ฟและลุงใหญ่ ว่าตนเองสู่วงการกีฬาวินด์เซิร์ฟตั้งแต่อายุได้เพียง 11 ปี จากการชักชวนของผู้เป็นบิดาและเมื่อได้ลองเล่นกีฬาวินด์เซิร์ฟ ก็รู้ว่ากีฬาดังกล่าวต้องใช้ลมในการเล่นจึงต้องฝึกฝนพละกำลังให้มาก อีกทั้งกีฬาวินด์เซิร์ฟเป็นกีฬาที่อิสระและมีแค่น้ำกับลมก็สามารถสร้างความสนุกสนานให้ได้

“แต่เมื่อก้าวเข้าสู่การเป็นนักกีฬาเยาวชนทีมชาติเริ่มมีความกดดันและเมื่อได้รับการสนับสนุนจาก ลุงใหญ่ ที่คอยให้กำลังใจและดูแลนักกีฬาทุกคนอย่างดี จนผลักดันให้สามารถก้าวมาอยู่ในจุดนี้ได้อย่างมั่นคง” “ยิม” นาวิน กล่าว












กำลังโหลดความคิดเห็น