xs
xsm
sm
md
lg

สาวเชียงใหม่เตือนภัยแอปเงินกู้นอกระบบ "ดอกเบี้ยโหด-ทวงดุ" ดูดข้อมูลมือถือส่ง SMS ข่มขู่คุกคามถ้วนหน้า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เชียงใหม่ - สาวเชียงใหม่เตือนภัยแก๊งแอปพลิเคชันเงินกู้นอกระบบออนไลน์ซ้ำเติมคนเดือดร้อนโควิด-19 หาเหยื่อผ่านเฟซบุ๊ก บังคับขอเข้าถึงข้อมูลมือถือก่อนให้กู้ เผยโอนเงินให้จริงไม่เต็มจำนวนหักไปเกือบครึ่งอ้างเป็นค่าธรรมเนียม แถมคิดดอกเบี้ยสุดโหด จ่ายไปเท่าไรเงินต้นก็ไม่ลด พอผิดนัดชำระโดนข่มขู่ทวงสารพัดวิธี รวมทั้งโทรศัพท์และส่งข้อความคุกคามคนอื่นตามเบอร์ในโทรศัพท์มือถือของเหยื่อ ทำอับอายและเครียดหนัก จนสุดทนขึ้นโรงพักเข้าแจ้งความแล้วขอใช้เงินคืนให้เท่าที่ได้รับจริง พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายต่อหน้าตำรวจ


รายงานจากจังหวัดเชียงใหม่แจ้งว่า นอกจากแก๊งเงินกู้นอกระบบและข่มขู่คุกคามทวงหนี้รูปแบบเดิมที่ส่งคนไปทวงหนี้ถึงบ้าน ซึ่งระบาดทั่วไปหลายพื้นที่และสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนจำนวนมากแล้ว ขณะนี้พบว่ายังมีแก๊งเงินกู้นอกระบบและข่มขู่คุกคามทวงหนี้รูปแบบใหม่ ที่ใช้วิธีหาเหยื่อผ่านทางช่องทางออนไลน์ และมีการนำแอปพลิเคชันมาใช้ โดยให้เหยื่อที่กำลังเดือดร้อนเรื่องเงินทำการโหลดแอปพลิเคชันลงโทรศัพท์พร้อมบังคับขอเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว พร้อมยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชนก่อนที่จะปล่อยกู้ให้โดยมีการหักเงินจากยอดที่กู้ไว้ก่อนในอัตราที่สูงและคิดอัตราดอกเบี้ยสุดโหด 

เมื่อเหยื่อไม่สามารถชำระคืนให้ได้ตามเงื่อนไข แก๊งดังกล่าวจะข่มขู่คุกคามต่างๆ นานากับเหยื่อโดยตรง รวมทั้งโทรศัพท์หรือส่งข้อความไปทวงหนี้กับเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์ที่มีข้อมูลในมือถือของเหยื่อด้วย โดยอ้างว่าเหยื่อใช้ชื่อค้ำประกันและต้องร่วมรับผิดชอบ ซึ่งเบื้องต้นพบว่า ที่จังหวัดเชียงใหม่มีผู้ที่ตกเป็นเหยื่อและได้รับความเดือดร้อนจากแก๊งเงินกู้นอกระบบออนไลน์จำนวนมากเช่นกัน


ทั้งนี้ น.ส.รจนา (นามสมมติ) อายุ 45 ปี ชาวจังหวัดเชียงใหม่ หนึ่งในผู้เดือดร้อนจากแก๊งเงินกู้นอกระบบออนไลน์ เปิดเผยว่า ตัวเองและครอบครัวเป็นอีกหนึ่งคนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้รายได้ลดลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายต่างๆ ยังคงมีอยู่เช่นเดิม เมื่อต้นเดือน มิ.ย.64 มีความจำเป็นต้องใช้เงิน จึงลองค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสินเชื่อเงินกู้ส่วนบุคคลของธนาคาร และระหว่างที่ใช้เฟซบุ๊กอยู่นั้น ได้มีโพสต์โฆษณาเกี่ยวกับการให้กู้เงินที่ดูเหมือนเป็นของธนาคารจริงๆ อีกทั้งมีการโฆษณาเชิญชวนว่าอนุมัติสินเชื่อง่ายโดยไม่ต้องใช้เอกสารหลักฐานและไม่ต้องใช้คนค้ำประกัน จึงเกิดความสนใจและลองกดเข้าไปดูรายละเอียด ปรากฏว่า ได้เชื่อมต่อเข้าไปให้ทำการโหลดแอปพลิเคชันชื่อ “Quick Cash” หากต้องการที่จะกู้เงิน ซึ่งตัวเองมีจำเป็นต้องใช้เงินประมาณ 50,000 บาท จึงได้ตัดสินใจโหลดแอปพลิเคชันดังกล่าวลงในโทรศัพท์มือถือ

โดยในการโหลดแอปพลิเคชันนั้นระบบมีการบังคับให้ยอมรับเงื่อนไขต่างๆ โดยเฉพาะการเข้าถึงข้อมูลในโทรศัพท์มือถือ เช่น หมายเลขโทรศัพท์ผู้ติดต่อ ภาพถ่าย เฟซบุ๊ก และไลน์ เป็นต้น ซึ่งตัวเองได้ยินยอมไป พร้อมทั้งแจ้งยอดวงเงินที่ต้องการ จากนั้นเมื่อเข้าระบบแอปพลิเคชันได้จะปรากฏรายชื่อผู้ให้บริการสินเชื่อที่ไม่คุ้นชื่อเลยประมาณ 20 ราย และแต่ละรายจะกำหนดวงเงินกู้ในรายละประมาณ 4,000-5,000 บาท โดยครั้งแรกตัวเองได้ตัดสินใจกู้เงินจากผู้ให้บริการรายหนึ่งในแอปพลิเคชันดังกล่าวจำนวน 4,110 บาท ตามวงเงินที่ได้รับ มีเงื่อนไขชำระคืนจำนวนดังกล่าวภายใน 7 วัน พร้อมดอกเบี้ยประมาณ 200 บาท


ขณะที่ก่อนที่จะมีการอนุมัติและโอนเงินมาให้นั้น จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อมาให้ตัวเองทำการยืนยันตัวตนด้วยการวิดีโอคอล ขอสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และหมายเลขบัญชีธนาคาร ซึ่งตัวเองได้ทำตามทุกอย่างจนครบถ้วน จากนั้นทางผู้ให้บริการรายนี้ได้โอนเงินเข้าบัญชีให้เพียง 2,345 บาทเท่านั้น โดยอ้างว่าเงินที่หักไป 1,755 บาท เป็นค่าธรรมเนียม ซึ่งเงินที่ได้รับไม่เพียงพอนำไปใช้จ่ายตามที่ต้องการ ตัวเองจึงจำเป็นต้องทยอยกู้กับผู้ให้บริการรายอื่นในแอปพลิเคชันเดียวกันอีก โดยในการกู้ครั้งต่อๆ มาไม่ต้องยืนยันตัวตนซ้ำอีกแล้ว อย่างไรก็ตาม ได้รับเงินไม่เต็มจำนวนเช่นกัน เช่น กู้ 3,000 บาท ได้รับเงิน 1,950 บาท กู้ 5,000 บาท ได้รับ 3,000 บาท หรือกู้ 2,500 บาท ได้รับ 1,600 บาท เป็นต้น ซึ่งเบ็ดเสร็จรวมยอดกู้ประมาณ 50,000 บาท แต่ได้รับเงินจริงเพียงประมาณ 30,000 บาท

น.ส.รจนา เปิดเผยอีกว่า หลังจากที่กู้เงินมาแล้วครบกำหนด 7 วัน ตัวเองได้เริ่มชำระเงินคืนให้ โดยในส่วนที่ไม่สามารถชำระคืนได้เต็มจำนวนนั้น ทางผู้ให้กู้มีเงื่อนไขขยายเวลาให้อีก 7 วัน โดยเงินเป็นค่าธรรมเนียมคิดเป็นประมาณ 35% ของยอดเงินกู้ ซึ่งตัวเองก็ยินยอมทำตามด้วยดีเป็นเงินรวมแล้วประมาณ 10,000 บาท อย่างไรก็ตาม ผ่านเข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 เริ่มไม่สามารถหาเงินไปชำระคืนให้ได้ แม้แต่เพียงค่าธรรมเนียม ปรากฏว่าทางผู้ให้บริการได้โทรศัพท์ทวงหนี้ในลักษณะข่มขู่คุกคามตลอดทั้งวันและทุกวัน นอกจากนี้ ยังส่งข้อความและโทรศัพท์ไปข่มขู่คุกคามผู้ที่มีรายชื่ออยู่ในข้อมูลโทรศัพท์ตัวเองอีกด้วย อ้างว่าตัวเองไปแอบอ้างชื่อคนเหล่านั้นเป็นผู้ค้ำประกัน ซึ่งแต่ละคนต่างมาสอบถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น ทำให้ตัวเองอับอายและเครียดหนักจนแทบทำมาหากินไม่ได้


ทั้งนี้ เมื่อทางผู้ให้บริการได้โทรศัพท์ทวงหนี้ในครั้งต่อมา ตัวเองได้ร้องขอไม่ให้ไปข่มขู่คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องและพยายามเจรจาต่อรองขอชำระหนี้คืนให้ทั้งหมดตามจำนวนเงินที่ได้รับจริง เพราะทางญาติผู้ใหญ่จะให้เงินช่วยเหลือเพื่อยุติเรื่องราวทั้งหมด แต่ทางฝ่ายผู้ให้บริการไม่ยินยอมและยังข่มขู่อีก ดังนั้น ล่าสุดตัวเองจึงได้ตัดสินใจเข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่สถานีตำรวจแล้วว่า ตัวเองยอมรับว่าได้ทำการกู้ยืมเงินมาและจะชำระหนี้คืนให้ครบตามจำนวนที่กู้ยืมพร้อมดอกเบี้ยตามที่กฎหมายกำหนด โดยจะชำระต่อหน้าพนักงานสอบสวน และทำการลงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ขณะเดียวกัน ขอให้ดำเนินคดีต่อผู้ให้บริการรายนี้ในข้อหาเงินกู้นอกระบบด้วย

นอกจากนี้ น.ส.รจนา บอกว่า อยากให้กรณีที่เกิดขึ้นกับตัวเองเป็นอุทาหรณ์เตือนภัยสำหรับคนที่อาจจะกำลังเดือดร้อนและต้องการใช้เงินว่า อย่าหลงเชื่อเข้าไปใช้บริการเงินกู้ผ่านทางแอปพลิเคชันอย่างเด็ดขาด เพราะไม่เพียงแต่เฉพาะตัวเองเท่านั้นที่ต้องได้รับความเดือดร้อน แต่ยังรวมไปถึงคนรอบข้างที่ต้องมาถูกรังควานจากคนกลุ่มนี้ที่มองว่าน่าจะเข้าข่ายมิจฉาชีพด้วย ซึ่งนอกจากรายที่ตัวเองหลงเชื่อแล้ว พบว่ายังมีผู้ให้บริการลักษณะเดียวกันนี้อีกเป็นจำนวนมากที่โพสต์โฆษณาอยู่ในเฟซบุ๊กและช่องทางออนไลน์ต่างๆ จึงอยากให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานเกี่ยวข้องตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายด้วย เพื่อไม่ให้ไปก่อปัญหาสร้างความเดือดร้อนซ้ำเติมประชาชนที่ทุกข์มากพออยู่แล้วในช่วงสถานการณ์โควิด-19








กำลังโหลดความคิดเห็น