ตม.บุกจับแก๊งปล่อยเงินกู้นอกระบบผ่านแอพโฆษณาสื่อออนไลน์ คิดดอกเบี้ยเกินกฎหมายกำหนด เผยลูกหนี้บางรายถูกโทรข่มขู่
วันนี้ (18 มิ.ย.) พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม. พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.บก.สส.สตม. พล.ต.ต.ไพศาล วงศ์วัชรมงคล ผบก.ภ.จ.นนทบุรี พ.ต.อ.เมษนนท์ นาขวัญ ผกก.สภ.รัตนาธิเบศร์ อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน บก.ปอพ.บก.สตม. และ คปชก.สตม.แถลงจับกุม Mr.Lian BinBin สัญชาติจีน และ น.ส.ณัฐชุตา กุลเชษฐ์ แก๊งกู้เงินนอกระบบ หลังสืบทราบว่าช่วงประมาณเดือน พ.ค.–มิ.ย.64 ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่ากู้เงินนอกระบบจากแอพพลิเคชั่นที่โฆษณาตามสื่อออนไลน์ต่างๆ 6 แอพพลิเคชั่น แมวกวัก tiktak Ubaht Cashdaddy เต่ามงคล ถุงเงิน
พล.ต.ท.สมพงษ์กล่าวว่า เมื่อประชาชนตกลงกู้เงิน จะต้องทำการส่งข้อมูลส่วนตัวพร้อมหมายเลขโทรศัพท์ให้กับทางแอพพ์ดังกล่าว ยอดเงินกู้เริ่มตั้งแต่ 2,500-10,000 บาท ซึ่งจะหักค่าธรรมเนียมประมาณ 30-42% และกำหนดระยะเวลาให้เวลาคืนภายใน 7 วัน เกินวันแรกดอกเบี้ยค่าปรับร้อยละ 12 ต่อวัน วันถัดไปร้อยละ 5 หากไม่ชำระตามที่กำหนด จะถูกเจ้าหน้าที่โทรตามทวงหนี้ หรือโทรหาญาติพี่น้อง หรือคนรู้จัก เพื่อให้เกิดความอับอาย ซึ่งปัจจุบันมีประชาชนตกเป็นผู้เสียหายจํานวนมาก ซึ่งมีบางรายถูกโทรข่มขู่ จึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ ซึ่งต่อมาได้มีการออกหมายจับชาวไทย 1 คน และชาวจีน 1 คน ได้ขยายผลเข้าทำการตรวจค้น 2 จุด
จุดที่ 1 บ้านเลขที่ 30 ซอยหมู่บ้านจันทิมาธานี 2 ต.บางรักพัฒนา อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ทำการจับกุม Mr.Lian BinBin สัญชาติจีน ตามหมายจับ ที่ 516/2564 ข้อหา ร่วมกันประกอบกิจการทวงหนี้ โดยไม่ได้รับอนุญาต จากการตรวจค้น พบสมุดบัญชี 15 เล่ม บัตรกดเงิน 10 ใบ และโทรศัพมือถือ 13 เครื่อง
จุดที่ 2 บ้านเลขที่ 13 เป็นอาคารสำนักงาน 5 ชั้น ซอยรัตนาธิเบศร์ 30 ต.บางกระสอ อ.เมืองนนทบุรี ทำการจับกุม น.ส.ณัฐชุตา กุลเชษฐ์ ตามหมายจับศาลอาญา กรุงเทพใต้ ที่ จ 299/2564 ข้อหา ร่วมกันประกอบกิจการทวงหนี้ โดยไม่ได้รับอนุญาต ขณะเข้าตรวจค้นพบพนักงานกำลังติดตามทวงหนี้ลูกค้าอยู่ที่ชั้น 2 16 คน ชั้น 3 27 คน ชั้น 4 23 คน รวม 66 คนทำการตรวจยึดคอมพิวเตอร์ 100 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ 70 เครื่อง
พล.ต.ท.สมพงษ์กล่าวว่า ก่อนหน้าได้รับแจ้งจากประชาชนว่าได้กู้เงินนอกระบบผ่านแอพพลิเคชั่นตามสื่อออนไลน์ต่างๆ และแอพพลิเคชั่นที่กระทำการปล่อยเงินกู้ โดยเมื่อผู้กู้ตกลงกู้เงินแล้วจะต้องส่งข้อมูลส่วนตัวพร้อมบัตรประชาชนให้กับทางแอพพลิเคชั่น จึงสามารถกู้เงินได้ครั้งละ 2,500-10,000 บาท โดยจะหักค่าธรรมเนียมครั้งแรกร้อยละ 30-42 และให้เวลาคืนเงินภายใน 7 วัน หากเกินวันแรกจะคิดดอกเบี้ยพร้อมค่าปรับร้อยละ 12 และวันต่อไปร้อยละ 5 หากลูกหนี้ไม่ชำระเงินจะใช้วิธีโทรศัพท์ตามทวงหนี้ หากติดต่อไม่ได้ จะโทรศัพท์ไปหาญาติพี่น้องให้เกิดความอับอาย และมีลูกหนี้บางรายถูกโทรศัพท์ข่มขู่จึงเข้าแจ้งความ และได้รวบรวมหลักฐานขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหา 2 คน และค้นบ้านพักรวม 2 จุด พร้อมกับควบคุมตัวผู้ต้องหาสัญชาติจีน 1 คน และผู้หญิงชาวไทย 1 คน พร้อมแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันประกอบกิจการทวงหนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต
พล.ต.ท.สมพงษ์กล่าวอีกว่า ผู้ต้องหาอ้างว่าเปิดบริษัทมาแล้วประมาณ 6 เดือน โดยมีนายทุนจากประเทศจีนเป็นผู้โอนเงินมาเป็นทุนปล่อยกู้ และเมื่อได้กำไรก็โอนคืนกลับไป ซึ่งก่อนหน้าเคยเปิดบริษัทมาแล้ว และต้องปิดบริษัทไปประมาณ 3 เดือน เนื่องจากมีพนักงานติดโควิด-19 หลายราย และกลับมาเปิดใหม่โดยพนักงานที่จะมาทำงานต้องไปตรวจโควิด-19 และนำใบรับรองแพทย์แสดงมาก่อนเข้าทำงาน
นอกจากนั้นยังสามารถยึดคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ โน้ตบุ๊ก โทรศัพท์มือถืออย่างละกว่า 100 เครื่อง สมุดบัญชี และบัตรกดเงินสดอีกจำนวนมาก เบื้องต้นยังพบเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 200-300 ล้านบาท และควบคุมตัวผู้ต้องหาและพนักงานไปสอบสวนเพิ่มเติม และขยายผลถึงผู้เกี่ยวข้องต่อไป