กาฬสินธุ์ - ตำรวจ สภ.ยางตลาด สอบพยาน ยืนยันแม่ค้าร้านของชำ ถูกสองผัวเมียหลอกโอนเงิน 39 ล้านบาทจริง ด้านญาติสองผัวเมียแฉเคยถูกหลอกยืมเงินแบบเดียวกัน ทั้งมีชาวบ้านตกเป็นเหยื่ออีกหลายราย ด้านตำรวจภูธรภาค 4 ส่งชุดสืบสวนสนธิกำลังลุยสางคดี
จากกรณี นางอาภา ภูขะมา อายุ 48 ปี ชาวบ้านบ้านดอนกลอย ต.หนองอิเฒ่า อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ นำหลักฐานเอกสารกว่า 200 หน้า พร้อมภาพถ่าย คลิปเสียง และสลิปโอนเงิน เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ อ้างว่า ถูกสองสามีภรรยาชาว จ.มหาสารคาม หลอกให้โอนเงินหลายครั้งระหว่างปี 2558-2560 รวมกว่า 39 ล้านบาท เพื่อถอนอายัดเงิน 10,000 ล้านบาท ในธนาคารแห่งชาติ เป็นค่าวิ่งเต้นถอนอายัดจาก ปปง.แลกกับค่าตอบแทน 5,000 ล้านบาท ตามข่าวที่เสนอแล้วนั้น
ล่าสุด วันนี้ (20 พ.ค.) ที่ สภ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ นางอาภา ภูขะมา ผู้เสียหาย พร้อมพยานจำนวน 6 คน ซึ่งเดินทางมาจาก อ.เมือง จ.มหาสารคาม, อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ และ กรุงเทพมหานคร เข้าให้ปากคำ พ.ต.ท.ปฏิวัติ ประวิเศษ รอง ผกก.(สอบสวน) สภ.ยางตลาด และ ร.ต.อ.วิรัตน์ วงค์สอน รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.ยางตลาด โดยมี พ.ต.อ.ศิลปชัย พงศ์วัชรจินดา ผกก.สภ.ยางตลาด กำกับดูแลอย่างใกล้ชิด
นางอาภา ภูขะมา ผู้เสียหาย ให้การยืนยันชัดเจนว่า ตนถูกสองสามีภรรยาชาว จ.มหาสารคาม หลอกยืมเงินและหลอกให้โอนเงินจริง ระหว่างปี 2558-2560 รวมจำนวน 39 ล้านบาท อ้างนำไปวิ่งเต้นถอนอายัดเงินในบัญชีในกับธนาคารแห่งชาติ จำนวน 10,000 ล้านบาท อ้างเป็นค่าวิ่งเต้นถอนอายัดจาก ปปง.ตามที่ให้การมาตั้งแต่ต้น เงินที่ตนให้สองสามีภรรยายืมนั้น เป็นเงินที่ตนเก็บสะสมมาตลอดชีวิต จากการไปทำงานที่ประเทศไต้หวันกว่า 20 ปี และเป็นเงินที่สามีโอนมาให้เดือนละ 200,000-700,000 บาท
นอกจากนี้ ยังเป็นเงินที่ได้จากการนำที่ดิน 100 ไร่ ไปจำนองกับธนาคาร และกู้ยืมจากญาติ เพื่อนำมาให้ยืม เพื่อหวังผลว่าจะได้เงินตอบแทนจากสองสามีภรรยาจำนวน 5,000 ล้านบาท
นางอาภา กล่าวอีกว่า หลังจากตนพยายามทวงถามเงินค่าตอบแทน รวมทั้งเงินที่ให้ยืมกับสองสามีภรรยาเรื่อยมา แต่ถูกบ่ายเบี่ยงมาตลอด ล่าสุด ประมาณเดือนเมษายนที่ผ่านมา ยังอ้างว่ายังไม่สามารถถอนอายัดและไม่อาจเดินทางมาพูดคุยได้ เนื่องจากอยู่ต่างจังหวัดและติดสถานการณ์โควิด-19 จึงรู้ตัวว่าถูกหลอกและคงจะไม่ได้เงินคืนแน่นอน ปัจจุบันนี้ตนมีสภาพเหมือนสิ้นเนื้อประดาตัว ไม่มีทรัพย์สินเงินทองอะไรอีกแล้ว
จึงตัดสินใจแจ้งความร้องทุกข์ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีกับสองสามีภรรยาคู่นี้ให้ถึงที่สุด เดิมทีก็ไม่อยากเชื่อว่าสองคนนั้นจะมีเงินมากถึง 10,000 ล้านบาท และจะให้ผลตอบแทน 5,000 ล้านบาท แต่เมื่อได้หลงเชื่อไปตั้งแต่ต้น และถลำลึกไปแล้ว ก็อยากได้แค่เงินของตนเองคืน พยายามทวงถาม แต่ก็ถูกหลอกเรื่อยมาจนเสียเงินไปจำนวนมากครั้งนี้
ด้าน นายเอส (นามสมมติ) อายุ 65 ปี ชาว จ.มหาสารคาม กล่าวว่า วันนี้เดินทางมาเป็นพยานให้กับนางอาภา เพราะเห็นใจและสงสารต้องสูญเงินไปจำนวนมาก สำหรับสองสามีภรรยาที่หลอกยืมเงินคนอื่นได้รับความเสียหายนั้น ฝ่ายชายเป็นน้องภรรยาของตน ส่วนฝ่ายหญิงเป็นคนต่างจังหวัด และมีศักดิ์เป็นน้องสะใภ้ของภรรยา โดยสองสามีภรรยาคู่นี้อาศัยอยู่ที่บ้านของตน ก่อนจะเริ่มสร้างปัญหาให้กับตนและครอบครัว
อ้างว่ารู้จักกับคนโน้นคนนี้มีธุรกิจการค้า มีเงินในบัญชีธนาคารจำนวนมาก แต่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน ไปวิ่งเต้นถอนอายัดทองคำและเงินในธนาคาร จึงรบเร้าให้ตนและภรรยา ช่วยหาเงินให้ ซึ่งจะได้ค่าตอบแทนด้วย แต่ไม่ได้บอกว่าจะให้เท่าใด ด้วยความที่รักน้อง เห็นใจน้อง ตนจึงนำที่ดินไปจำนองกับแหล่งเงินทุนได้เงินมา 500,000 บาท จากนั้นมอบให้สองสามีภรรยายืมด้วยความเชื่อใจว่าคงจะไม่หลอกลวงกัน
หลังจากนั้น สองสามีภรรยาคู่นี้ ยังมาขอร้องให้ตนช่วยหาเงินให้อีก เพื่อไปถอนอายัดทองคำและเงินในธนาคาร อ้างว่าที่ได้ไปครั้งแรก 500,000 บาท ไม่พอ อ้างว่าจะให้ค่าตอบแทนที่สูงนับล้านบาทอีกด้วย ตนกับภรรยาหลงเชื่อ ไปติดต่อขอโฉนดที่ดินญาติพี่น้องไปจำนองกับนายทุน ได้เงินมาเท่าไหร่ก็ให้น้องเมียยืมไปหมด ทิ้งช่วงไปสักระยะก็กลับมาบอกอีกว่าเงินไม่พออีก ซึ่งเป็นวิธีการเดิมๆ ที่มาหลอกลวงตน ขณะนั้นตนทั้งสูญเสียเงินนำที่ดินไปจำนอง 500,000 บาท
ทั้งยังมีส่วนไปชักชวนชาวบ้านคนอื่น เหมือนนำเงินมาลงทุนด้วยกันอีกตั้งครึ่งหมู่บ้านที่หลงเชื่อ เพราะอยากตามเงินที่สูญเสียไปคืน แต่ที่สุดก็รู้ว่าถูกหลอก เรื่องถูกอายัดทองคำและเงินธนาคารแห่งชาติ เป็นอุบายที่น้องเมียสร้างขึ้นมาหลอกลวง เพราะตั้งแต่ปี 2558-2564 ยังไม่ได้เงินคืนสักบาท ตนรู้สึกผิดที่ไปชักชวนชาวบ้านจนหลงเชื่อ ทั้งมอบอำนาจและนำโฉนดที่ดินไปจำนองกับนายทุน วงเงินเฉลี่ยคนละ 5 แสน ถึงหลักล้านบาท บางคนติดหนี้ผ่อนชำระเอง บางคนถูกยึดที่ดิน ได้รับความเดือดร้อนจำนวนมาก
จึงเข้าแจ้งความที่ สภ.เมืองมหาสารคาม เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีกับสองสามีภรรยา แต่ทางตำรวจไม่รับแจ้ง อ้างว่าเป็นการเต็มใจให้ยืม จึงไม่รู้จะทำอย่างไร หลายคนไม่กล้าแจ้งความ เพราะคิดว่าคงไม่ได้เงินคืนแล้ว แต่ก็มาเป็นพยานให้กับนางอาภา และยืนยันว่า นางอาภาได้โอนเงินให้สองมามีภรรยายืมเงินไปจริง
ด้าน พ.ต.อ.ศิลปชัย พงศ์วัชรจินดา ผกก.สภ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ความคืบหน้าคดีดังกล่าว วันนี้มีผู้เสียหาย และพยานที่เห็นเหตุการณ์วันเซ็นสัญญาให้ยืมเงิน และรู้เห็นการจ่ายเงินมาให้ปากคำเพิ่มเติมอีก 6 ราย ซึ่งเป็นคนในพื้นที่ อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์, อ.เมือง จ.มหาสารคาม และเดินทางมาจากกรุงเทพมหานคร โดยทางพนักงานสอบสวนจะสอบปากคำ และจะสอบสวนเส้นทางการเงินของนางอาภาผู้เสียหายก่อน จากนั้นจะสืบสวนบัญชีเงินฝากของสามีภรรยาที่ถูกกล่าวหา
อย่างไรก็ตาม คดีนี้ไม่ซับซ้อน เพียงแต่รอความชัดเจนการสอบปากคำผู้เสียหายและพยาน รวมทั้งเอกสารประกอบสำนวนอื่นๆ ส่วนการติดตามตัวสองสามีภรรยา ชาว จ.มหาสารคาม ที่ถูกกล่าวหานั้น เจ้าหน้าที่ได้ตรวจเช็กในระบบทะเบียนราษฎรว่ามีตัวตนจริง ล่าสุด ตำรวจภูธรภาค 4 ได้ส่งเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ลงพื้นที่สนธิเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.ยางตลาด เพื่อติดตามตัวสามีภรรยามาสอบปากคำและดำเนินการตามขั้นตองทางกฎหมายต่อไป