กาฬสินธุ์ - แม่ค้าเมืองน้ำดำ หอบสลิปโอนเงิน แจ้งตำรวจ สภ.ยางตลาด หลังถูกหลอกให้โอนเงินหลายครั้ง ให้สองผัวเมียตระกูลดัง ระหว่างปี 2558-2560 สูญเงินกว่า 39 ล้านบาท อ้างนำไปวิ่งเต้นถอนอายัดเงิน 10,000 ล้านบาทจากแบงก์ชาติ แลกค่าตอบแทน 5,000 ล้านบาท สุดท้ายรู้ตัวถูกหลอก
วันนี้ (18 พ.ค) ที่ สภ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ นางอาภา ภูขะมา อายุ 48 ปี ชาวบ้านบ้านดอนกลอย ต.หนองอิเฒ่า อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ นำหลักฐานทั้งเอกสารจำนวนกว่า 200 หน้าพร้อมภาพถ่าย คลิปเสียง และสลิปโอนเงิน เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.ยางตลาด หลังถูกคนรู้จักหลอกให้โอนเงินหลายครั้งระหว่างปี 2558-2560 สูญเงินรวมกว่า 39 ล้านบาท โดย พ.ต.ท.ปฏิวัติ ประวิเศษ รอง ผกก.(สอบสวน) สภ.ยางตลาด และ ร.ต.อ.วิรัตน์ วงค์สอน รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.ยางตลาด รับแจ้งความ
นางอาภา ภูขะมา อายุ 48 ปี กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ ตนเคยไปทำงานต่างประเทศ เมื่อเก็บเงินได้จึงกลับบ้านเกิด จ.กาฬสินธุ์ และเปิดร้านขายของชำ การค้าไปได้ด้วยดี จากนั้นปลายเดือนมีนาคม 2558 มีสองสามีภรรยา ชื่อนายเอ และนางบี (นามสมมติ) เป็นชาว อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ เข้ามาตีสนิท อ้างว่ารู้จักกับอาจารย์ที่เคยสอนตนตอนเรียนชั้นประถมศึกษา
ก่อนจะแนะนำให้ตนรู้จักกับสามีภรรยาอีกคู่หนึ่ง ซึ่งเป็นชาว จ.มหาสารคาม และมีนามสกุลเป็นคนใหญ่คนโต มีชื่อเสียงใน จ.มหาสารคาม บอกว่า ต้องการเงินด่วนจำนวน 180,000 บาท เพื่อนำไปวิ่งเต้นถอนอายัดเงินจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีจำนวนค่อนข้างมากจากธนาคารแห่งชาติ โดยจะขอยืมเพียง 7 วัน ก็จะคืนให้ วันที่ 1 เมษายน 2558 จึงได้นัดแนะกันที่ปั๊มน้ำมันสี่แยกไฟแดง อ.ยางตลาด มีการลงนามบันทึกให้ยืมและกำหนดวันส่งคืนวันที่ 8 เมษายน 2564
นางอาภา กล่าวต่อว่า สาเหตุที่ตนยอมให้สองสามีภรรยาชาว จ.มหาสารคาม คู่นั้นยืมเงิน เพราะเชื่อใจว่า นายเอ และนางบี ที่เป็นคนรู้จักกับอาจารย์ที่ปรึกษาของตน และรู้สึกเห็นใจคนเดือดร้อน ต้องการเงิน จึงไม่คิดอะไรมาก แต่พอถึงวันกำหนดนัดคืนเงิน สองสามีภรรยาชาว จ.มหาสารคามคู่นั้นก็พยายามบ่ายเบี่ยง และอ้างว่าเงินที่ยืมมาจำนวน 180,000 บาท ยังไม่สามารถถอนอายัดได้ เนื่องจากเงินในบัญชีมีจำนวนมากถึง 10,000 ล้านบาท นอกจากธนาคารแห่งชาติอายัดไว้แล้ว ยังมี ป.ป.ง.กำลังตรวจสอบและอายัดไว้ด้วย
กระทั่งวันที่ 1 พฤษภาคม 2558 ได้ขอยืมเงินจากตนอีก 380,000 บาท เพื่อไปวิ่งเต้นให้เจ้าหน้าที่ ปปง.ทำการถอนอายัดให้ เพราะบัญชีมีเงินมาก จึงอาจจะเข้าข่ายร่ำรวยผิดปกติ ซึ่งสองสามีภรรยาชาว จ.มหาสารคาม ได้ยื่นข้อเสนอว่าหากให้ยืมจะให้ค่าตอบแทนกับตนจำนวน 2,500 ล้านบาท ตนหลงเชื่อและเบิกเงินสดมาให้
นางอาภา กล่าวอีกว่า ข้อมูลสองสามีภรรยาชาว จ.มหาสารคาม คู่นี้ ตนไม่เคยรู้จักเบื้องหน้าเบื้องหลัง แต่เพราะมั่นใจในตัวสองสามีภรรยาชาว จ.กาฬสินธุ์ ที่รู้จักกับอาจารย์ที่ปรึกษา และเห็นว่า นามสกุลมีชื่อเสียงใน จ.มหาสารคาม ประกอบกับมีการป้อนข้อมูลให้ตนทราบว่าสองสามีภรรยาชาว จ.มหาสารคาม ฝ่ายชายเป็นลูกชายของแม่เลี้ยง ฐานะร่ำรวยมากระดับเศรษฐี อยู่ที่ จ.เชียงใหม่ ครอบครัวจะโอนเงินมาให้ลูกชาย แต่เนื่องจากเงินในบัญชีมีจำนวนมาก จึงถูกอายัดไว้ ไม่สามารถถอนออกมาได้ จึงต้องหาหยิบยืมเงิน เพื่อนำไปวิ่งเต้นเจ้าหน้าที่ ปปง. ให้ถอนอายัดตนจึงหลงเชื่อ
หลังจากให้ยืมเงินไปแล้ว สองสามีภรรยาชาว จ.มหาสารคาม ยังติดต่อขอยืมเงินตนอีกหลายครั้ง อ้างจะเอาเงินไปวิ่งเต้นเจ้าหน้าที่ ป.ป.ง.และธนาคารแห่งชาตินำเงินออกมาให้ได้ โดยมีสองสามีภรรยาชาว จ.กาฬสินธุ์ เป็นผู้ประสานงาน พร้อมยื่นข้อเสนอเพิ่มค่าตอบแทนให้จากเดิม 2,500 ล้านบาท เป็น 5,000 ล้านบาท ตนจึงหลงเชื่อและโอนเงินไปให้หลายครั้งเฉลี่ยครั้งละ 400,000 บาทถึง 1,000,000 บาท มาตั้งปี 2558 เรื่อยมา จนครั้งสุดท้ายปลายปี 2560 ได้นำโฉนดที่ดินทั้งของตนและญาติ ไปจำนองกู้เงินธนาคาร นำเงินมาให้สองสามีภรรยาคู่นั้นยืมอีก รวมแล้วที่ให้สองสามีภรรยายืมจำนวนเงิน 39,000,000 บาท
นางอาภา กล่าวในตอนท้ายว่า เหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นระหว่างเดือนเมษายน 2558-2560 สาเหตุที่ตนปล่อยให้ล่วงเลยมานานถึง 4 ปี และตัดสินใจเข้าแจ้งความวันนี้ เพราะยังมีความหวังว่าจะได้ค่าตอบแทนจากสามีภรรยาคู่นั้น 5,000 ล้านบาท หรือไม่ก็ได้เงินของตนคืนก็ยังดี แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้สักบาท
ล่าสุด ทราบว่า สองสามีภรรยาชาว จ.มหาสารคาม นั้น มีหมายจับในหลายท้องที่ จึงรู้ว่าตนถูกหลอก และไม่ได้เงินคืนแน่นอน จึงนำหลักฐานที่มีอยู่เข้าแจ้งความ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีกับสองสามีภรรยาอย่างถึงที่สุด เพื่อต้องการเงินคืนและไม่ให้ไปก่อเหตุหลอกลวงคนอื่นให้เดือดร้อนอีก คาดว่าจะมีผู้เสียหาย ถูกหลอกในลักษณะเดียวกับตนหลายราย ความเสียหายไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท
ด้าน ร.ต.อ.วิรัตน์ วงค์สอน รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า หลังได้รับแจ้งความร้องทุกข์ จากนาง อาภา ภูขะมา ผู้เสียหายแล้ว จะได้รวบรวมพยานหลักฐาน รวมทั้งเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องสอบปากคำ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป