ปราจีนบุรี - ภัยสังคม! แม่เมืองปราจีนบุรี พาลูกสาววัย 14 ปี ร้องสื่อ หลังถูกคนในหมู่บ้านลวงไปล่วงละเมิดทางเพศนาน 2 เดือน สุดท้ายคดีไม่คืบหวั่นก่อเหตุซ้ำ ด้านตำรวจยันไม่ล่าช้า อีก 2 สัปดาห์เตรียมยื่นเรื่องอัยการส่งฟ้องศาล
วันนี้ (15 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจาก นางสุภาพร (ขอสงวนนามสกุล) ชาวบ้านใน ต.บุพราหมณ์ อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี ว่าลูกสาววัย อายุ 14 ปี ได้ถูกนายปรีชา หรือชา โพธิ์นรา อายุ 47 ปี ซึ่งเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกันล่อลวงไปล่วงละเมิดทางเพศด้วยการออกอุบายว่าจะขี่รถจักรยานยนต์ไปส่งที่บริเวณปากซอย
แต่สุดท้ายกลับเลี้ยวรถจักรยานยนต์ไปยังอ่างเก็บน้ำซึ่งอยู่ติดชายเขา และห่างถนนใหญ่ประมาณ 2.5 กิโลเมตร ก่อนจะก่อเหตุ กระทำอนาจารด้วยการใช้มือจับอวัยวะเพศ ซึ่งในครั้งนั้นบุตรสาวเกรงกลัวอันตรายจึงยอมให้กระทำ แต่ยังโชคดีที่มีไหวพริบอ้างว่าจะต้องไปส่งงานที่โรงเรียนก่อน
พร้อมขอร้องให้ผู้ก่อเหตุพาไปส่งที่โรงเรียนเพื่อส่งงานให้แล้วเสร็จ หลังจากนั้นจึงจะยินยอมให้ล่วงละเมิดทางเพศจนทำให้ผู้ก่อเหตุตายใจ และขี่รถจักรยานยนต์ไปส่งที่โรงเรียน
จากนั้นบุตรสาวได้นำเรื่องบอกกับครูและผู้ปกครอง รวมทั้งปรึกษาผู้ใหญ่บ้าน ก่อนจะพากันไปเข้าแจ้งความต่อ ร.ต.อ.สมัย สุดาชาติ ร้อยเวร สภ.นาดี เพื่อให้ส่งตัวไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลนาดี เหตุเกิดเมื่อวันที่ 31 มี.ค.2564 ที่ผ่านมา
แต่สุดท้ายคดีไม่มีความคืบ หนำซ้ำ นายปรีชา ผู้ก่อเหตุยังคงวนเวียนเข้ามาในบริเวณบ้านและแสดงท่าทางเยาะเย้ยคล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น อีกทั้งเมื่อวันที่ 13 เม.ย.ที่ผ่านมา นายปรีชา ยังได้เข้ามากราบเท้าขอโทษเพื่อขอให้ตนเองไม่แจ้งความดำเนินคดีโดยอ้างว่าเป็นเพราะอารมณ์ชั่ววูบ
พร้อมอ้างว่าจะจ่ายค่าสินไหมเพื่อทำขวัญให้บุตรสาวเป็นเงิน จำนวน 100,000 บาท แต่ตนเองยืนยันว่าจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด เนื่องจากเรื่องที่เกิดขึ้นถือเป็นภัยต่อสังคม
นางสุภาพร ยังบอกอีกว่า บุตรสาวได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้าที่จะถูกนายปรีชา ลวงไปล่วงละเมิดทางเพศ นายปรีชา มักจะเข้ามานอนเปลที่บริเวณข้างบ้านและมักแอบดูบุตรสาวอยู่เป็นประจำ
อย่างไรก็ดี ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยัง ร.ต.อ.สมัย สุดาชาติ ร้อยเวรเจ้าของคดี ทราบว่า ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เรียกตัว นายปรีชา ผู้ก่อเหตุมาทำการสอบสวนและแจ้งข้อกล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งมีอัตราโทษสูงถึง 10 ปีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และไม่ได้ดึงคดีให้มีความล่าช้าแต่อย่างใด
โดยยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย และคาดว่าในอีก 2 สัปดาห์จะสามารถยื่นเรื่องต่ออัยการเพื่อส่งฟ้องต่อศาลได้ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เข้าข้าง และที่ผ่านมาไม่มีการวิ่งเต้นคดีอย่างที่มีข่าวลือ