เชียงใหม่ - เชียงใหม่เผชิญวิกฤตคุณภาพอากาศต่อเนื่อง ฝุ่นควันเผาป่าหนาทึบคลุมทั้งเมืองแทบไม่เห็นดวงตะวันพร้อมเหม็นกลิ่นไหม้รู้สึกได้ ขณะที่ค่ามลพิษพุ่งยึดอันดับโลกเหนียวแน่น PM 2.5 เกินมาตรฐานกระทบสุขภาพ ต้องย้ำเตือนประชาชนเลี่ยงออกกลางแจ้งและสวมหน้ากากป้องกันฝุ่น
วันนี้ (11 มี.ค. 64) สถานการณ์ปัญหาฝุ่นควันและคุณภาพอากาศของจังหวัดเชียงใหม่ยังคงน่าเป็นห่วงอย่างต่อเนื่อง โดยสภาพทั่วทั้งตัวเมืองเชียงใหม่ถูกปกคลุมหนาทึบด้วยฝุ่นควันสีขาวบดบังแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาและทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นต่ำลง ทั้งนี้ ฝุ่นควันสีขาวดังกล่าวสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้อย่างชัดเจนและมีกลิ่นเหม็นไหม้ ขณะที่รายงานผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศของกรมควบคุมมลพิษจากสถานีตรวจวัดในพื้นที่ตำบลช้างเผือก และตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ พบว่าค่าฝุ่น PM 2.5 เฉลี่ยในรอบ 24 ชั่วโมง เมื่อเวลา 09.00 น. อยู่ที่ 132 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และ 114 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จากค่ามาตรฐานไม่เกิน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ส่วนค่าดัชนีคุณภาพอากาศอยู่ที่ 242 และ 224 ตามลำดับ จากค่ามาตรฐานไม่เกิน 100 โดยสถานีตำบลศรีภูมินั้นไม่มีรายงานข้อมูล ซึ่งคุณภาพอากาศอยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ พร้อมมีการแจ้งเตือนประชาชนให้งดออกทำกิจกรรมนอกอาคารและสวมหน้ากากป้องกันฝุ่นละออง โดยกลุ่มเสี่ยงผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้ป่วยเรื้อรังโรคทางเดินหายใจต้องดูแลเป็นพิเศษ
ขณะที่ข้อมูลคุณภาพอากาศเว็บไซต์ https://www.iqair.com ที่รายงานคุณภาพอากาศจากเมืองสำคัญต่างๆ ทั่วโลก รายงานผลการตรวจคุณภาพอากาศเมื่อเวลา 10.00 น. พบว่าจังหวัดเชียงใหม่มีค่ามลพิษอากาศสูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก โดยมีค่าดัชนีคุณภาพอากาศ 215 US AQI และค่า PM 2.5 อยู่ที่ 164.6 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ส่วนอันดับ 1 เมืองเสิ่นหยาง ประเทศจีน ค่าดัชนีคุณภาพอากาศ 234 US AQI และอันดับ 3 เมืองปักกิ่ง ประเทศจีน ค่าดัชนีคุณภาพอากาศ 201 US AQI โดยปัจจัยที่ทำให้เชียงใหม่มีฝุ่นควันสะสมมากนั้นคาดว่ามาจากหลายสาเหตุทั้งจากการเผา และควันข้ามแดนถูกกระแสลมพัดพามาสะสม รวมทั้งวานนี้ได้เกิดไฟไหม้ขึ้นทางด้านทิศใต้ของอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย เขตบ้านปางยาง ตำบลบ้านปง อำเภอหางดง ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าที่อยู่ใกล้ตัวเมืองเชียงใหม่ โดยไฟได้ลุกลามขยายวงกว้างอย่างรวดเร็ว และมีการใช้เฮลิคอปเตอร์ KA-32 ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยขึ้นบินโปรยน้ำดับตั้งแต่ช่วงเย็น และชุดดับไฟป่าภาคพื้นดินเข้าดับไฟตลอดทั้งคืน จึงสามารถควบคุมไฟให้อยู่ในวงจำกัดได้
ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญสำหรับจุดความร้อนที่เกิดขึ้นในจังหวัดเชียงใหม่ช่วงเช้าวันนี้มีจำนวน 122 จุด เกิดขึ้นใน 16 อำเภอ เป็นจุดที่ลุกลามจากเมื่อวานนี้ 38 จุด พบเกิดมากที่สุดในอำเภอฮอด 20 จุด รองลงมาคืออำเภอจอมทอง 19 จุด ขณะที่อำเภอหางดง ซึ่งเกิดไฟไหม้ป่าอย่างหนักเมื่อเย็นวานนี้ ตรวจพบจุดความร้อนขึ้นใหม่ 3 จุดในตำบลบ้านปง ซึ่งเป็นตำบลเดียวกับที่เกิดไฟไหม้เมื่อวานนี้ เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนเร่งเข้าดับไฟอย่างต่อเนื่อง