เชียงใหม่ - มลพิษอากาศเชียงใหม่ทะยานขึ้นครองอันดับ 1 ของโลก ชี้มีผลกระทบต่อทุกคนอย่างรุนแรง เตือนประชาชนระวังตัวเองเลี่ยงทำกิจกรรมนอกอาคารหากจำเป็นต้องสวมหน้ากาก ขณะที่หน่วยงานเร่งถกหาทางคลี่คลายสถานการณ์ ทั้งสั่งห้ามเผา เพิ่มกำลังพลลาดตระเวน และนำเครื่องบินแบบ UAV มาร่วมบินตรวจจับพื้นที่ไฟป่า และการเผาชี้เป้าให้ภาคพื้นดิน
รายงานจากจังหวัดเชียงใหม่แจ้งว่า วันนี้ (8 มี.ค. 64) สถานการณ์ฝุ่นควันไฟป่าของภาคเหนือยังรุนแรงต่อเนื่อง ส่งผลให้สภาพตัวเมืองเชียงใหม่คงมีฝุ่นควันหนาทึบปกคลุมทั่วทั้งเมือง ซึ่อข้อมูลคุณภาพอากาศเว็บไซต์ https://www.iqair.com ที่รายงานคุณภาพอากาศจากเมืองสำคัญต่างๆ ทั่วโลก รายงานผลการตรวจคุณภาพอากาศเมื่อเวลา 10.00 น. พบว่าจังหวัดเชียงใหม่มีค่ามลพิษอากาศสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก โดยมีค่าดัชนีคุณภาพอากาศ 213 USAQI และค่า PM2.5 อยู่ที่ 162.8 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ส่วนอันดับ 2 เมืองเสิ่นหยาง ประเทศจีน ค่าดัชนีคุณภาพอากาศ 193 USAQI และอันดับ 3 เมิงเดลี ประเทศอินเดีย 192 ค่าดัชนีคุณภาพอากาศ 213 USAQI ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้เชียงใหม่มีฝุ่นควันสะสมมากเนื่องจากกระแสลมได้พัดพากลุ่มควันจากทางด้านทิศตะวันตกเข้ามาสะสมในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ และมีกระแสลมพัดเข้ามาเสริมในพื้นที่ตะวันออกด้วย
ขณะที่รายงานผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศของกรมควบคุมมลพิษ จากสถานีตรวจวัดในพื้นที่ตัวเมืองเชียงใหม่ พบว่าค่าฝุ่น PM 2.5 เฉลี่ยในรอบ 24 ชั่วโมง เมื่อเวลา 09.00 น. ที่สถานีตำบลช้างเผือกอยู่ที่ 114 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร, สถานีตำบลศรีภูมิ ไม่มีรายงาน และสถานีตำบลสุเทพอยู่ที่ 75 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ จากค่ามาตรฐานไม่เกิน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ส่วนค่าดัชนีคุณภาพอากาศจากสถานีตำบลช้างเผือก, ตำบลศรีภูมิ และตำบลสุเทพ อยู่ที่ 224, 104 และ 162 ตามลำดับ จากค่ามาตรฐานไม่เกิน 100 ซึ่งอยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ พร้อมทั้งมีการแจ้งเตือนประชาชนให้งดออกทำกิจกรรมนอกอาคารและสวมหน้ากากป้องกันฝุ่นละออง
ด้านศูนย์บัญชาการป้องกันและแก้ไขฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) จังหวัดเชียงใหม่ นายรัฐพล นราดิศร รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ร่วมกับตัวแทนจากอำเภอต่างๆ ที่มีจุดความร้อน ซึ่งสถานการณ์ล่าสุดเช้าวันนี้พบว่ามีอยู่จำนวน 135 จุด ซึ่งอยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 83 จุด, อยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ 51 จุด, ในเขต ส.ป.ก. 1 จุด ซึ่งรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้เน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกับผู้นำชุมชนลงพื้นที่ตรวจสอบสาเหตุของจุดความร้อนที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะที่อยู่นอกเขตที่อนุญาตให้บริหารจัดการเชื้อเพลิง และเรียกตัวบุคคลต้องสงสัยมาสอบถาม ซึ่งทุกพื้นที่ต้องได้คำตอบว่าเกิดจากสาเหตุอะไรและติดตามตัวผู้กระทำความผิดมาให้ได้โดยเร็ว พร้อมทั้งให้เร่งประชาสัมพันธ์เรื่องการงดเผาให้มากขึ้นกว่าเดิม ขอความร่วมมือให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด อีกทั้งยังมีการประกาศงดเผาเด็ดขาดในวันที่ 15-22 มี.ค. 64 นี้เพื่อให้คุณภาพอากาศของจังหวัดเชียงใหม่ดีขึ้น
ขณะเดียวกัน ที่กองบัญชาการควบคุมสถานการณ์ไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาคเหนือ กองทัพภาคที่ 3 ส่วนหน้า ทุกหน่วยงานเกี่ยวข้องร่วมประชุมหารือแผนปฏิบัติงานป้องกันแก้ปัญหาไฟป่า หลังพบว่าปัญหาคุณภาพอากาศในภาคเหนือมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นและมีผลกระทบต่อประชาชน ซึ่งเบื้องต้นในส่วนของกองทัพภาคที่ 3 ได้สั่งการจัดกำลังชุดลาดตระเวนเพิ่มเติมจากเดิมที่มีอยู่ 6 ชุดปฏิบัติการในจังหวัดเชียงใหม่ เพิ่มเติมกำลังทหารและทหารพรานอีก 7 ชุดปฏิบัติการ จากหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 7 และกรมทหารพรานที่ 32, 33, 35 ลงพื้นที่จังหวัดลำปางและแม่ฮ่องสอนที่มีจุดความร้อนพุ่งสูงก่อน โดยให้ตรึงกำลังอยู่ในพื้นที่และพร้อมออกปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจากนี้ ได้มีการระดมยุทโธปกรณ์ทางทหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำอากาศยานต่างๆ มาร่วมบูรณาการดับไฟป่า ทั้งเฮลิคอปเตอร์ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, กรมฝนหลวงและการบินเกษตร, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม, เครื่องบิน U-17 ของกองทัพบก และล่าสุดได้รับการเสริมกำลังจากกองทัพอากาศ ส่ง UAV หรืออากาศยานไร้คนขับมาร่วมปฏิบัติการ ช่วยในการสำรวจ ชี้เป้าจุดที่เกิดไฟป่า และการเผา เพื่อส่งข้อมูลพิกัดให้ทางภาคพื้นดินให้การเข้าดับไฟป่าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ