นครสวรรค์/อุทัยธานี - ภัยแล้งลุกลามรุนแรง..นครสวรรค์ถึงขั้นต้องกั้นคลองเลี้ยงเรือนแพ ขณะที่ “แม่น้ำตากแดด” แห้งตลอดสาย 150 กิโลฯ ตั้งแต่ต้นน้ำเขตแม่วงก์ ชาวนาโกรกพระเมืองปากน้ำโพยันอุทัยธานีบางรายต้องสูบน้ำ 3 ทอดต่ออายุนาข้าว
ขณะนี้เจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต.บางพระหลวง อ.เมืองนครสวรรค์ ต้องนำรถแบ็กโฮลงกั้นคลองสาขาแม่น้ำยม บริเวณหมู่ที่ 1 ต.บางพระหลวง ทั้งหัวและท้ายของชุมชนชาวแพ หลังน้ำในคลองแห้งขอดและส่งผลกระทบชาวแพในพื้นที่มาตั้งแต่ปลายปี 63 เป็นต้นมา เพราะฝนน้อยและน้ำยมแห้งเร็วกว่าทุกปี
นายวันชัย แสนมุข ส.อบต.บางพระหลวง เปิดเผยว่า ก็หวังกันอยู่ว่าคันกั้นน้ำที่ทำขึ้นจะกักเก็บน้ำที่เหลือน้อยอยู่แล้วไม่ให้ไหลออกนอกพื้นที่และแห้งไปจนหมด ซึ่งน้ำที่ขังดังกล่าวจะสามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของชาวแพในช่วงฤดูแล้งหลังจากนี้ได้บ้าง
เช่นเดียวกับพื้นที่จังหวัดอุทัยธานีที่เริ่มเผชิญกับภาวะภัยแล้งรุนแรงขึ้น แหล่งกักเก็บน้ำเพื่อการเกษตรทั้งอ่างเก็บน้ำและเขื่อนต่างๆ มีน้ำเหลือจำนวนจำกัด โดยเฉพาะแม่น้ำตากแดดที่ไหลผ่านพื้นที่ อ.สว่างอารมณ์-อ.ทัพทัน บริเวณเหนือเขื่อนวังร่มเกล้า ที่แห้งขอดตลอดสายยันต้นน้ำเขตอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ระยะทางกว่า 150 กิโลเมตร กระทบนาข้าวที่กำลังจะออกรวงเป็นวงกว้าง
เกษตรกรในพื้นที่ ต.ทุ่งใหญ่ ต.หนองแก อ.เมืองอุทัยธานี และ ต.เนินศาลา อ.โกรกพระ จ.นครสวรรค์ ต้องร่วมกันนำเครื่องสูบน้ำของตัวเองมาระดมสูบน้ำที่ยังพอเหลืออยู่จากหน้าเขื่อนวังร่มเกล้า เข้าคลองส่งน้ำในพื้นที่ของตนเอง ก่อนสูบน้ำต่อเข้าหล่อเลี้ยงนาข้าวที่กำลังเติบโตใกล้ออกรวงแล้วหลายพันไร่
กลุ่มชาวนาทั้งชาวเมืองอุทัยธานีและโกรกพระ จ.นครสวรรค์ บอกว่า ช่วงนี้เริ่มเจอภัยแล้งขาดแคลนน้ำกันอีกครั้ง จากช่วงปลายเดือนตุลาคม 63 ที่ผ่านมา ทั้งแม่น้ำตากแดดและเขื่อนวังร่มเกล้ามีน้ำไหลเข้ามาจำนวนมาก จึงคาดว่าน่าจะเพียงพอต่อการทำนาในครั้งนี้ แต่สุดท้ายปริมาณน้ำที่มีกลับลดลงเร็วกว่าที่คาดไว้ จนต้องพากันลงทุนลงแรงตั้งเครื่องสูบและซื้อน้ำมันมาสูบน้ำที่พอมีอยู่ส่งไปเลี้ยงนาข้าวที่กำลังจะออกรวง
“ที่นาบางคนอยู่ไกลจากเขื่อนก็ต้องสูบน้ำถึง 3 ทอด ใช้น้ำมันสูบน้ำกันไม่ต่ำกว่า 20 ลิตรต่อวัน ซึ่งหวังว่าการทำนาในรอบนี้จะได้ผลผลิตเก็บเกี่ยวกันได้ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่ข้าวจะขาดน้ำยืนต้นตายอยู่มาก หากยังคงไม่มีน้ำไหลเข้ามาเพิ่ม”
ด้านนายฐกร กาญจิรเดช ผู้อำนวยการโครงการชลประทานอุทัยธานี กล่าวว่า แม้ช่วงปลายปีที่ผ่านมา แม่น้ำตากแดด และเขื่อนวังร่มเกล้าจะมีมวลน้ำลูกใหญ่ไหลเข้ามาเติมเต็มก็ตาม แต่ยังไม่มากพอที่จะใช้ทำการเกษตรตลอดฤดูกาลได้ เพราะยังคงต้องกักเก็บไว้ใช้ในการประปาหมู่บ้านเป็นหลักก่อน
จากการรายงานสภาพน้ำฝน-น้ำท่า ประจำวันที่ 28 ม.ค. 64 สภาพน้ำฝนไม่มีฝนตกในพื้นที่ สถาพน้ำท่า ประตูระบายน้ำเขื่อนวังร่มเกล้ามีการระบายน้ำ 0.00 ลบ.ม./วินาที อ่างเก็บน้ำห้วยขุนแก้ว ปริมาณน้ำ 23.05 ล้าน ลบ.ม.(44.33%) มีน้ำไหลเข้า 0.00 ล้าน ลบ.ม. ระบายน้ำ 0.00 ล้าน ลบ.ม. อ่างเก็บน้ำทับเสลา ปริมาณน้ำ 86.98 ล้าน ลบ.ม. (54.36%) มีน้ำไหลเข้า 0.00 ล้าน ลบ.ม. ระบายน้ำ 2.82 ล้าน ลบ.ม. และฝายทัพคล้าย น้ำผ่านฝาย 0.00 ลบ.ม/วินาที
ช่วงนี้เริ่มเข้าฤดูกาลทำนาอีกครั้ง เกษตรกรรอบเขตชลประทานก็เริ่มไถหว่านและลงมือปลูกข้าวกันอย่างต่อเนื่อง ทางโครงการชลประทานก็ต้องประชาสัมพันธ์แจ้งให้เกษตรกรได้ทราบว่าปัจจุบันเขื่อนวังร่มเกล้ายังไม่มีน้ำส่งช่วยพื้นที่การเกษตรได้ จึงทำให้การทำนาของเกษตรกรในครั้งนี้ค่อนข้างมีความเสี่ยง