มุกดาหาร - ตำรวจ สภ.กกตูมนำ 6 พยานเข้าเครื่องจับเท็จ ย้ำคำเดิมบางคนเห็น “ลุงพล” มาแถวบ้านช่วง “น้องชมพู่” ได้หายตัวไป ด้านสรรพากรพื้นที่มุกดาหารเตือนยูทูปเบอร์ติดตามทำคลิปลุงพลถ้ามีรายได้ต้องเสียภาษี ไม่เช่นนั้นจะมีความผิดทางอาญา
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าคดี “น้องชมพู่” ล่าสุดวันนี้ (18 ม.ค.) พนักงานสอบสวน สภ.กกตูมเดินทางมารับพยานในคดี จำนวน 6 คน ประกอบด้วย 1. พระอาจารย์บุญมา เจ้าอาวาสวัดภูผาแอก, 2. ครูบารัตน์ วัดป่าภูกะโล้น 3. พ่อแบม ชาวบ้านกกกอก, 4. นางดอน มะลิรส พยานที่เห็นลุงพลบนวัดภูผาแอก, 5. ด.ช.ก๊วยเจ๋ง ลูกชายน้าเสริม และ 6. นางส้มโอ (นามสมมติ) ชาวบ้านกกตูม ไปยังศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 1 จังหวัดปทุมธานี เข้าเครื่องจับเท็จ
ซึ่งพยานกลุ่มนี้ถือเป็นพยานสำคัญในคดีที่อยู่ในเหตุการณ์วันที่ 11 พ.ค. 63 หลังจากที่น้องชมพู่หายตัวไป
พระอาจารย์บุญมา ซึ่งเป็นพยานที่เคยให้การต่อตำรวจ กล่าวยืนยันว่า ช่วงสายของวันที่ 11 พ.ค. 63 อาตมาได้เจอกับลุงพลบนวัดถ้ำภูผาแอก ขณะที่ลุงพลขึ้นมารับพระครูบารัตน์ ตอนนั้นได้ยินลุงพลพูดว่า “เกือบไม่ได้ไปส่งพระ เพราะหลานหาย” โดยพระอาจารย์บุญมายังยืนยันในคำให้การเดิมที่เคยให้ต่อตำรวจไว้ และไม่ได้รู้สึกกังวลที่จะต้องไปเข้าเครื่องจับเท็จ
ขณะที่พ่อแบม พยานที่เคยให้การต่อตำรวจว่าพบลุงพลที่สวนยางใกล้บ้านเมื่อเวลาประมาณ 09.00 น. ของวันที่ 11 พ.ค. 63
โดยพ่อแบมบอกว่า ก่อนหน้านี้เคยให้การต่อตำรวจไปเเล้วกว่า 10 ครั้ง ซึ่งช่วงแรกอาจจะยังไม่มีความชัดเจนเท่าที่ควร แต่ระบุว่าการเข้าเครื่องจับเท็จในครั้งนี้ก็จะให้ข้อมูลเดียวกันกับที่เคยให้ตำรวจไว้ครั้งสุดท้าย และไม่ได้รู้สึกกังวล
ด้านนางส้มโอ พยานที่เคยระบุว่าพบลุงพลช่วงบ่าย เวลาประมาณ 15.00-16.00 น. ของวันที่ 11 พ.ค. 63 ในขณะที่กำลังตามหาน้องชมพู่ที่บริเวณตีนภูเหล็กไฟฝั่งตะวันออก ข้างๆ ห้วยบุ่ง ซึ่งในวันดังกล่าวลุงพลใส่เสื้อภูไท ตนได้กล่าวทักทายลุงพลก่อนจะเดินแยกกันไปอีกทาง ซึ่งตนยังยืนยันในคำให้การเดิมเพราะสิ่งที่พูดคือความจริง และไม่ได้รู้สึกกังวลเช่นกัน
ทั้งนี้ ตำรวจยังได้ไปนิมนต์พระครูบารัตน์ พระที่ลุงพลไปส่งในวันที่น้องชมพู่หาย เพื่อนำไปเข้าเครื่องจับเท็จด้วย อย่างไรก็ตาม จากการตั้งข้อสังเกตกลุ่มพยานที่ตำรวจจะนำตัวเข้าเครื่องจับเท็จในครั้งนี้เป็นกลุ่มพยานที่เคยให้ข้อมูลเชื่อมโยงถึงลุงพล อีกทั้งบางส่วนในจำนวนนี้ยังเคยถูกลุงพลต่อว่าในลักษณะให้ข้อมูลไม่เป็นความจริง แต่ทั้งหมดก็ยังยืนยันในคำให้การเดิมมาโดยตลอด
นางดอน มะลิรส พยานที่เห็นลุงพลบนวัดภูผาแอกในวันที่ 11 พ.ค. 63 แต่จำเวลาที่เห็นลุงพลแบบแน่ชัดไม่ได้ ขณะที่ ด.ช.ก๊วยเจ๋ง ลูกชายน้าเสริม เป็นพยานที่อยู่ไม่ไกลจากจุดเกิดเหตุ
สำหรับการเข้าเครื่องจับเท็จก่อนหน้านี้ วันที่ 5 ม.ค. 64 มีน้องสะดิ้ง นายอนามัย และนางสาวิตรี ส่วนน้าเสริมกับน้าต่ายเข้าเครื่องวันที่ 6 ม.ค. 64 น้าแตกับน้าฝนเข้าเครื่องวันที่ 7 ม.ค. 64 แต่ละคนใช้เวลาสอบปากคำประมาณ 3 ชั่วโมง ส่วนน้องสะดิ้งไม่ได้เข้าเครื่องจับเท็จ เเต่พูดคุยกับสหวิชาชีพแทน
กระทั่งวันที่ 8 ม.ค. 64 เป็นรอบของนางสมพร หลาบโพธิ์ หรือ ป้าแต๋น และนายไชย์พล วิภา โดยป้าแต๋นถูกสอบด้วยเครื่องจับเท็จเป็นเวลา 4 ชม. ส่วนลุงพลถูกสอบด้วยเครื่องจับเท็จเป็นเวลา 5 ชม.
ส่วนนายธนา วาริยศ สรรพากรพื้นที่มุกดาหาร กล่าวว่า กรณีของนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล จะมีข้อมูลที่ทางสรรพากรมีอยู่แล้ว จากที่มีข่าวมาทางลุงพลก็รู้หน้าที่เขาอยู่แล้ว เพราะเขาเคยให้สัมภาษณ์ออกทางทีวี เขารู้ว่าเขามีรายได้เขาต้องยื่นเสียภาษี ซึ่งช่วงนี้เป็นฤดูการยื่นแบบเสียภาษี ถ้ายื่นธรรมดาต้องยื่นภายใน 31 มีนาคม ถ้ายื่นทาง Internet จะยื่นภายในวันที่ 8 เมษายน
นายธนากล่าวต่ออีกว่า ส่วนยูทูปเบอร์ที่ตามลุงพลเขาก็มีรายได้ที่ต้องเสียภาษีเหมือนกัน ส่วนจะเสียภาษีเท่าไหร่อย่างไรก็ขึ้นอยู่กับรายได้ของเขา เมื่อคำนวณแล้วถึงเกณฑ์เสียภาษีจะต้องได้เสียภาษี ซึ่งจะมีกำหนดของเขาอยู่ว่ามีรายได้เท่าไหร่จะต้องมีหน้าที่ยื่นเสียภาษี อาจจะคำนวณแล้วไม่ต้องเสียภาษีก็ได้ ส่วนเงินที่ชาวบ้านบริจาคมา ตัวนั้นก็ต้องไปดูรายละเอียดก่อน ซึ่งยังไม่ทราบข้อเท็จจริง เรื่องรายได้เราตอบไม่ได้เป็นเรื่องส่วนตัว ซึ่งมีกฎหมายคุ้มครองเขาอยู่จะเปิดเผยข้อมูลไม่ได้
สำหรับคนที่มีรายได้ ไม่เสียภาษี มีความผิดในเรื่องไม่ยื่นแบบเสียภาษี มีโทษปรับทั้งทางอาญา และทางแพ่ง