กาญจนบุรี - ผู้ช่วย รมต.ประจำกระทรวง ร่วมถกการแก้ปัญหาช้างป่า-ที่ดินทำกินทับซ้อนเขตป่าอนุรักษ์ สรุปชาวบ้าน-กรม อุทยานแห่งชาติ พร้อมใจจับมือรวมหลักฐานฟ้องศาลปกครอง ส่วนปัญหาช้างป่า ได้งบกว่า 19 ล้านบาท สร้างรั้วกั้นช้าง 13 กม.ปีหน้าลงมือ
บ่ายวันนี้ (23 พ.ย.) ที่ห้องประชุมจิตเกษม อาคารศูนย์ฝึกอบรมท่าทุ่งนา เขื่อนท่าทุ่งนา (กฟผ.) หมู่ 1 ต.ช่องสะเดา อ.เมือง จ.กาญจนบุรี นายนพดล พลเสน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะประธานคณะทำงานยุทธศาสตร์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานประชุมเพื่อติดตามการดำเนินงานด้านทรัพยากรธรรมชาติ การแก้ไขปัญหาการใช้ประโยชน์ของราษฎรในเขตพื้นที่ป่า และการดูแลสัตว์ป่าจังหวัดกาญจนบุรี
โดยมีนายเฉลิมชัย ปาปะทา ผู้ตรวจกระทรวง นายนิพนธ์ จำนงสิริศักดิ์ ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) นายวิมล อึ้งพรหมบัณฑิต ผู้อำนวยการ ทสจ.กาญจนบุรี นายนิทรรศ เวชวินิจ ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 10 (ราชบุรี) นายทศพร รักจันทร์ ผู้อำนวยการส่วนฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่อนุรักษ์ ส.บอ.3 (บ้านโป่ง) นายไพฑูรย์ อินทรบุตร หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ รวมทั้งคณะผู้บริหารระดับสูงสังกัดสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) น.ส.ปภัสร์ลภัส แดงกูล นายก อบต.ช่องสะเดา นายวสันต์ สุนจิรัตน์ กำนันตำบลช่องสะเดา ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ และชาวตำบลช่อสะเดาเข้าร่วมประชุม
โดยก่อนที่คณะของนายนพดล พลเสน จะเข้าประชุมนั้น ได้มีชาวบ้านในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาที่ดินทำกิน รวมทั้งปัญหาช้างป่ากว่า 50 คน เดินทางมารอรับ โดยนำป้ายที่เขียนข้อความถึงความเดือดร้อนต่างๆ มาชูให้นายนพดล ทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ซึ่งนายนพดล ได้กล่าวทักทายประชาชนด้วยดีและเป็นกันเอง พร้อมทั้งเชิญประชาชนเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วย
โดยในที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้ชาวบ้านได้ซักถามข้อสงสัยในปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่ จากนั้นให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาต่างๆ สลับกันชี้แจงในการตอบปัญหาให้แก่ราษฎร เกี่ยวกับเรื่องปัญหาที่ดิน ปัญหาช้างป่าบุกรุกทำลายพืชผลอาสิน และแนวทางในการช่วยเหลือเยียวยาในพื้นที่ภัยพิบัติ การประชุมในครั้งนี้ใช้เวลานานเกือบ 3 ชั่วโมง จึงแล้วเสร็จ
จากนั้นเวลาประมาณ 16.00 น.นายนพดล พลเสน พร้อมคณะเจ้าหน้าที่ทั้งหมด ได้เดินทางไปที่บริเวณโรงเรียนบ้านท่าทุ่งนา
เพื่อตรวจสอบแนวรั้วเหล็กกั้นช้าง ที่กำลังจะดำเนินการก่อสร้างประมาณปี 2564 เพื่อป้องกันไม่ให้ช้างป่าลงมากินพืชผลของราษฎรที่อาศัยอยู่บริเวณแนวกันชนติดกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ
ทั้งนี้ นายนพดล พลเสน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยภายหลังว่า สรุปแนวทางการประชุมเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา ประเด็นคือปัญหาพื้นที่ทับซ้อนกับพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ซึ่งชาวบ้านกังวลใจว่าพื้นที่ทำกินของชาวบ้านทับซ้อนก่อนอยู่หรืออยู่ก่อนมีการทับซ้อน ซึ่งเรื่องนี้มันมีข้อกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะมาก และยังมีคำสั่งของคณะปฏิวัติเกี่ยวกับเรื่องผิดกฎหมายด้วย ซึ่งเรื่องนี้มันยากต่อการที่เจ้าหน้าที่ที่มาในวันนี้จะไปตอบปัญหาได้ว่าใช่หรือไม่ใช่
ดังนั้น ในที่ประชุมจึงมีความเห็นพร้อมกันว่า ให้ตั้งคณะกรรมการร่วมขึ้นมาภายในเวลา 60 วัน พร้อมกับให้รวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมด แล้วนำไปเสนอต่อศาลปกครองเพื่อพิจารณา ซึ่งเหตุผลที่คุยกันวันนี้ฟังขึ้นได้แต่เราตัดสินเองไม่ได้เพราะเราไม่ใช่ศาล เอกสารหลักฐานทั้งหมดจะต้องรอฟังผลวินิจฉัยจากศาลปกครอง
ประเด็นที่สองคือ เรื่องของรั้วกั้นช้าง ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่น่าพอใจมาก เพราะทางหน่วยงานราชการและรัฐบาล รวมทั้งในส่วนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรี ซึ่งสำนักงบประมาณได้อนุมัติงบกลางลงมาให้ก่อสร้างรั้วเหล็กกึ่งถาวรเป็นระยาทาง 13 กิโลเมตร เป็นเงินจำนวน 19,500,000 บาท และนอกจากนี้ยังได้งบประมาณในการนำมาปลูกอาหารในพื้นที่ให้แก่ช้างป่า แปลงละ 40 ไร่ประมาณ 20-40 แปลง ตกประมาณ 1 พันไร่ จึงถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว
ประเด็นสุดท้ายก็คือ ชดเชยภัยพิบัติให้แก่ประชาชน ซึ่งเรื่องนี้จะต้องเป็นหน้าที่ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยเฉพาะกรมการปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ซึ่งกรมอุทยานจะมาช่วยเกี่ยวกับตัวของกฎหมาย เพราะบางครั้งการที่ช้างป่าออกมาทำลายพืชผลทางเกษตร และเมื่อมีการประกาศภัยพิบัติ ผลการประกาศไม่ตรงกับการที่ช้างป่าออกมาทำลาย ซึ่งเรื่องนี้จะต้องนำไปแก้ปัญหาให้ตรงจุด แต่เชื่อได้ว่าจะสามารถแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง ขึ้นอยู่กับว่าผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบจะมีการเอาใจใส่มากน้อยแค่ไหนในการแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชน
ด้าน นายวสันต์ สุนจิรัตน์ กำนันตำบลช่องสะเดา กล่าวว่า ประเด็นต่างๆ ที่นำเสนอต่อนายนพดล พลเสน และเจ้าหน้าที่กระทรวงทรัพย์ในวันนี้ การพูดคุยในที่ประชุมผลออกมาเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก ซึ่งทางผู้นำชุมชนและราษฎรในพื้นที่ต่างก็แสดงความยินดี เพราะบางสิ่งบางอย่างที่มันเคยมีปัญหาติดขัดอยู่ แต่ในวันนี้เราได้มาหาทางออกร่วมกันและจากที่เคยขัดแย้งกันก็สามารถลดความขัดแย้งนั้นไปได้ และจะนำปัญหาต่างๆ ที่มีอยู่มาแก้ไขร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาของช้างป่า ปัญหาของป่าไม้จะมาร่วมกันดูแลให้มันคงอยู่ต่อไป