กาญจนบุรี - “ทนายตั้ม” เผยหากครูจุ๋ม ถูกทำร้ายย่อมมีสิทธิแจ้งความดำเนินคดี แต่ดูจากวิธีเหมือนเติมเชื้อเพลิงเข้ากองไฟ ส่วนทนายเดชา เป็นทนายมากว่า 30 ปี น่าจะรู้อะไรควรไม่ควร
วันนี้ (5 ต.ค.) ที่ศาลจังหวัดกาญจนบุรี นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ เปิดเผยเกี่ยวกับกรณีนายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือทนายเดชา ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ ที่เข้ามาช่วยเหลือ น.ส.อรอุมา ปลอดโปร่ง หรือ ครูจุ๋ม เข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.ชัยพฤกษ์ จ.นนทบุรี เพื่อแจ้งความดำเนินคดีต่อผู้ปกครองของเด็กนักเรียนโรงเรียนสารสาสน์วิเทศน์ราชพฤกษ์ ที่กำลังเป็นข่าวโด่งดังอยู่ในขณะนี้ว่า
ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า เมื่อ ครูจุ๋ม ถูกทำร้าย ครูจุ๋ม ก็มีสิทธิแจ้งความดำเนินคดี แต่ว่าเมื่อมาคิดถึงแนวทางการแก้ปัญหา ถามว่ามันเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุดหรือเปล่า เพราะการที่ทำแบบนี้มันเหมือนเป็นการเติมเชื้อไฟเข้าไปในกองเพลิง ซึ่งจะทำให้เรื่องราวมันบานปลายไปกันใหญ่ ส่วนโรงเรียนก็จะได้รับผลกระทบมากยิ่งขึ้น
ซึ่งอันที่จริงการแก้ปัญหาแบบนี้หากมาปรึกษาผม ผมคงไม่ให้โรงเรียนดำเนินคดีกลับ โดยควรที่จะให้ทางโรงเรียนเรียกตัวผู้ปกครองมา แล้วยอมรับผิดในสิ่งที่ทางโรงเรียนทำผิดพลาดไป แล้วก็ขอชดใช้ค่าเสียหาย และพยายามทำเรื่องให้จบด้วยความละมุนละม่อมที่สุด แต่การที่ไปแจ้งความกลับแบบนี้มันทำให้สังคมเกิดความโกรธแค้น และยิ่งทำให้ผู้ปกครองมองในด้านลบกับทางโรงเรียนไปอีก ผมจึงมองว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ดีสักเท่าไหร่
สำหรับทนายเดชา เป็นทนายความมากว่า 30 ปีแล้ว จึงรู้ว่าอะไรที่ควรทำหรือไม่ควรทำ แต่ในกรณีแบบนี้ผมก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไร เพราะว่าทนายความมีสิทธิที่จะฟ้องศาลได้โดยตรง การฟ้องโดยตรงในคดีอาญาแผ่นดินแบบนี้ เราสามารถที่จะถอนฟ้องได้ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษา หรือสามารถมาไกล่เกลี่ยกันได้ แต่เมื่อไปแจ้งความ มันไม่สามารถไกล่เกลี่ยกันได้ ซึ่งเหมือนกับจะเอากันติดคุกไปข้างหนึ่งเลย
ซึ่งผมคิดว่าถ้าเกิดเป็นทนายก็อยากจะให้ประนีประนอมยอมความกัน หรือถ้าจะฟ้องกันจริงๆ ก็ควรจะฟ้องตรงต่อศาลแล้วค่อยมาไกล่เกลี่ยกันก็ได้ เพราะก่อนที่ศาลชั้นต้นจะติดสินเราสามารถที่จะขอถอนฟ้องเรื่องคดีอาญาแผ่นดินได้ เชื่อว่ามันคงจะดีเสียกว่า แต่ในเมื่อทนายเดชา ตัดสินใจไปแล้วมันก็เรื่องของเขา