สุโขทัย - ตามส่องอาณาจักรกล้วยแปรรูปหนองตูม ปตท.สผ.ช่วยสร้างโรงเรือน-ติดระบบส่งก๊าซฟรี แถมขายก๊าซให้ราคาต่ำ ตั้ง 240 กระทะแปรรูปกล้วยน้ำว้า ทั้งอบเนย-เบรกแตก ส่งขายใน-ต่างประเทศปีละกว่าพันล้าน จนวัตถุดิบในประเทศไม่พอ ต้องนำเข้าจากเวียดนามมาเพิ่ม
นางพิมพ์ผกา ยิ้มประดิษฐ์ อายุ 53 ปี สมาชิกสหกรณ์แปรรูปกล้วยตำบลหนองตูม จำกัด เปิดเผยว่า ชาวบ้าน ต.หนองตูม อ.กงไกรลาศ จ.สุโขทัย เริ่มแปรรูปกล้วยน้ำว้าเป็นกล้วยอบเนยตั้งแต่ปี 2539 และรวมกลุ่มก่อตั้งสหกรณ์ฯ ในปี 2550 ปัจจุบันมีสมาชิก 40 คน
โดย ปตท.สผ.ดำเนินการก่อสร้างโรงเรือนแปรรูปผลิตภัณฑ์ ติดตั้งระบบส่งก๊าซให้ฟรี และจำหน่ายก๊าซธรรมชาติที่เป็นผลพลอยได้จากการผลิตน้ำมันดิบให้แก่สหกรณ์ฯ ในราคาที่ต่ำกว่าก๊าซหุงต้ม (LPG) ด้วย
ทำให้สมาชิกสหกรณ์แปรรูปกล้วยตำบลหนองตูมมีชีวิตที่ดีขึ้น จากเคยรับจ้างก่อสร้างและทำนาเป็นหลัก ก็หันมายึดอาชีพนี้แทน จนที่นี่กลายเป็นแหล่งแปรรูปกล้วยแหล่งใหญ่สุดในประเทศไทย มีปริมาณการผลิต 11,322.73 ตันต่อปี คิดเป็นมูลค่ากว่า 1,132.2 ล้านบาท
แบ่งออกเป็นตลาดในประเทศ คิดเป็น 70% เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ เชียงราย แพร่ นครสวรรค์ และตาก เป็นต้น โดยมีปริมาณ 7,925.91 ตัน มูลค่า 984.7 ล้านบาท และตลาดต่างประเทศ คิดเป็น 30% ได้แก่ จีน และเกาหลี โดยมีปริมาณ 3,396.82 ตัน มูลค่า 147.5 ล้านบาท และใช้ช่องทางการจำหน่ายออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก และไลน์อีกด้วยส่งขายตลาดทั่วประเทศ และต่างประเทศ เช่น จีน เกาหลี และเยอรมนี
นางพิมพ์ผกาบอกว่า ในโรงเรือนแปรรูปมีทั้งหมด 30 ห้อง 240 กระทะ รวมใช้ก๊าซเดือนละ 6-8 แสนบาท เมื่อก่อนแปรรูปไม่กี่อย่าง แต่ปัจจุบันได้พัฒนาต่อยอดเพิ่ม มีทั้งกล้วยน้ำว้า กล้วยไข่ กล้วยหักมุก กล้วยหอม เผือก มัน ฟักทอง นำมาทอดเนย ได้รสชาติอร่อย หอม หวาน มัน กรอบ โดยเฉพาะ “กล้วยอบเนย” จะขายดีที่สุดในต่างประเทศ และ “กล้วยเบรกแตก” ก็ขายดีที่สุดในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม ตลอด 3 ปีที่ผ่านมาได้เกิดปัญหาภัยแล้งขึ้นในพื้นที่ทำให้ผลผลิตกล้วยขาดแคลน แม้จะรับซื้อกล้วยจากจังหวัดใกล้เคียง เช่น ตาก กำแพงเพชร พิษณุโลก ฯลฯ ก็ยังไม่เพียงพอ ปัจจุบันจึงต้องนำเข้าจากประเทศเวียดนามเพื่อการแปรรูปแทน
“จะมีแต่ช่วงวิกฤตโควิด-19 เท่านั้นที่ยอดขายหยุดชะงัก ถึงขั้นต้องขนกล้วยแปรรูปจำนวนหลายตันเอาไปให้ลิงที่นครสวรรค์กินแทน กระทั่งช่วงกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาสถานการณ์เริ่มดีขึ้นทำให้มีออเดอร์สินค้าเข้ามาดังเดิมแล้ว”