แม่สาย/ท่าขี้เหล็ก - มาตรการจำกัดรถข้ามแดนท่าขี้เหล็ก-แม่สาย สกัดโควิด ลามกระทบการค้า สินค้าตกค้างหน้าด่านฯ 4 วันติด-ยอดส่งออกหายวันละ 80-100 ล้าน แถมพม่ารณรงค์พึ่งพาตนเอง-ใช้สินค้าในประเทศ ขนน้ำมันตองจีแทนน้ำมันไทย
วันนี้ (20 ก.ย.) บริเวณหน้าด่านถาวร สะพานมิตรภาพไทย-พม่า ข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 2 ฝั่ง อ.แม่สาย จ.เชียงราย เต็มไปด้วยรถบรรทุกสินค้า โดยเฉพาะรถบรรทุกน้ำมันที่มาจอดเข้าคิวรอนำสินค้าข้ามฝั่งไปยังเมืองท่าขี้เหล็กของพม่า เนื่องจากทางการท้องถิ่นพม่ายังคงกำหนดให้รถขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนได้เพียงฝ่ายละ 6 คันต่อวัน
หลังคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดเชียงราย มีประกาศฉบับที่ 22 กำหนดให้รถบรรทุกสินค้าข้ามมาจากฝั่งเมียนมาได้เพียง 168 คัน และให้เปลี่ยนคนขับที่ด่านพรมแดนฯ ก่อนเข้าตัวเมืองแม่สาย เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 17 เป็นต้นมา ทำให้ทางการพม่านำมาตรการจำกัดจำนวนรถสินค้าข้ามฝั่งดังกล่าวมาใช้ เพราะที่ผ่านมารถบรรทุกสินค้าทะเบียนพม่าที่ข้ามไปมาระหว่างแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก มีเพียง 6 คันเท่านั้น ที่เหลือล้วนแต่เป็นรถติดป้ายทะเบียนไทยทั้งสิ้น
และแม้ว่านายประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย และประธานคณะกรรมการโรคติดต่อ จ.เชียงราย จะออกมายืนยันว่าตามประกาศของคณะกรรมการฯฉบับที่ 22 ที่ให้รถบรรทุกสินค้าจากพม่าข้ามฝั่งได้ 168 คันต่อวันนั้น ดูเฉพาะจำนวนรถที่ข้ามฝั่งเท่านั้น ไม่ได้ควบคุมเรื่องทะเบียนรถ ล่าสุดกำลังเร่งประสานทำความเข้าใจกับหอการค้า จ.ท่าขี้เหล็ก
อย่างไรก็ตาม มาตรการที่ทั้ง 2 ฝ่ายนำมาใช้สกัดกั้นการแพร่ระบาดของโควิด-19 นั้น ทำให้ขบวนรถสินค้าตกค้างสะสมมากขึ้นเป็นเวลา 4 วันติดต่อกันแล้ว ทำให้ยอดการค้าระหว่างกันหายไปวันละประมาณ 80-100 ล้านบาททีเดียว
ส่วนสถานการณ์ในท่าขี้เหล็กขณะนี้พบว่าเริ่มมีสินค้าที่ไปจากประเทศไทยน้อยลง จากเดิมที่มีสินค้าอุปโภคบริโภคไทยวางจำหน่ายเกือบทุกชนิด นอกจากนี้ ทางการท่าขี้เหล็กยังรณรงค์ให้ประชาชนในพื้นที่ได้ให้หันมาประหยัดและพึ่งพาตนเอง เปลี่ยนมาใช้สินค้าภายในประเทศมากขึ้น โดยกรณีของน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งปัจจุบันพึ่งพาการนำเข้าจากไทยเกือบทั้งหมดก็เริ่มมีการส่งรถรถน้ำมันจากท่าขี้เหล็กออกไปขนน้ำมันจากเมืองตองจีมาแทนแล้ว
รายงานข่าวจากด่านศุลกากรแม่สายแจ้งว่า ในปีงบประมาณ 2563 ประเทศไทยมีการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่นจาก อ.แม่สาย ไปยัง จ.ท่าขี้เหล็ก น้ำหนักกว่า 114,674,366.18 กิโลกรัม รวมมูลค่าประมาณ 2,321,141,738.28 บาท ขณะที่มูลค่าการค้ารวมมีมูลค่า 12,244,019,935.60 บาท แยกเป็นการส่งออก 10,803,646,550.06 บาท และนำเข้ามูลค่า 1,440,373,385.54 บาท.