กำแพงเพชร - ส.จ.คนดังบุกสภา อบจ.กำแพงเพชร ทวงสิทธิการเป็นสมาชิกหลังถูกศาลพิพากษาผิด พ.ร.บ.เลือกตั้งท้องถิ่นเมื่อปี 57 อ้างยังเป็น ส.จ.จนกว่าจะมีหนังสือสั่งให้สิ้นสุดสมาชิกภาพ จนห้องประชุมปั่นป่วนซ้ำ แถมขึ้นป้ายหรากลางเมือง
การประชุมสภา อบจ.กำแพงเพชร สมัยสามัญ สมัยที่ 2 ครั้งที่ 2 (ประจำปี 2563) ที่ห้องประชุมชากังราว ชั้น 1 อาคารผู้บริหาร 3 ชั้นของ อบจ. ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดความวุ่นวายอีกครั้ง เมื่อนายปฐมภพ ปราการชัยนาคร ส.จ.คนดังที่เคยถูกคำพิพากษาจากศาลจังหวัดกำแพงเพชร เมื่อปี 2557 ว่ามีความผิดตามมาตรา 62 และมาตรา 122 พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น บุกทวงสิทธิถึงห้องประชุมอีกครั้ง
ซึ่งเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา ในการประชุมเพื่อขอความเห็นชอบร่างข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 นายปฐมภพ ก็แต่งเครื่องแบบสีกากีของ ส.จ.มาเต็มยศ เพื่อขอร่วมประชุม โดยอ้างว่าตนยังมีสิทธิ และไม่ยอมออกจากห้องจนกว่าจะได้หนังสือสั่งการให้พ้นสมาชิกภาพ กระทั่ง อบจ.รับปากว่าจะดำเนินการเรื่องหนังสือให้พ้นจากสมาชิกภาพภายในวันที่ 21 ส.ค.63 ทำให้นายปฐมภพยินยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสภาฯ เชิญออกจากที่ประชุมไป
คราวนี้ นายปฐมภพ ก็มาทวงถามหนังสือสั่งการปลดให้พ้นสมาชิกภาพ ส.จ.อีกครั้ง จนบรรดาสมาชิกสภา อบจ.กำแพงเพชร ทั้ง 25 คน ที่ต้องการประชุมเพื่อรับร่างข้อบัญญัติประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ให้ผ่านไปด้วยดี ได้พร้อมใจกันยืนแสดงตนขอให้นายปฐมภพ ปราการชัยนาคร ออกจากห้องประชุม ซึ่งนายปฐมภพ นั้นไม่ยอมปฏิบัติตามแต่อย่างใด
ต่อมา ประธานสภาฯ ได้แจ้งให้ทราบอีกครั้งว่าไม่มีอำนาจวินิจฉัยเรื่องดังกล่าว นายปฐมภพ ก็ได้ยกเหตุแห่งการต่อสู้คดี เพื่อให้สภาได้ชี้สถานภาพของตน เพื่อต้องการเอกสารชี้แจงจาก อบจ.ให้ได้ ต่อมา อบจ.กำแพงเพชร จึงได้นำเอกสารจากกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ส่งผ่านมาทางจังหวัด แจ้งการสิ้นสุดสมาชิกภาพ แต่นายปฐมภพ ไม่ยอมรับและขอให้อ่านในที่ประชุมให้ฟัง จนประธานสภาฯ ต้องพักการประชุมไปกว่า 30 นาที
จากนั้นเลขาสภาฯ ได้อ่านเอกสารตามที่นายปฐมภพ ต้องการต่อหน้าที่ประชุม ระบุโดยสรุปว่า ส.จ.ปฐมภพ สิ้นสุดสมาชิกภาพโดยทางกฎหมายแล้ว ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่รักษาความปลอดภัยจะเชิญออกจากห้องประชุมด้วยความวุ่นวายอีกเช่นเคย
นายสุนทร รัตนากร นายก อบจ.กำแพงเพชร เปิดเผยกับสื่อมวลชนถึงเรื่องดังกล่าวว่า ที่มาที่ไปและการติดป้ายทวงสิทธิของนายปฐมภพ รวมทั้งถูกกล่าวหาโจมตีการประพฤติหน้าที่ของตนนั้นไม่ได้รู้สึกโกรธเคือง และไม่ได้มีเหตุขัดข้องเป็นการส่วนตัว ตนเข้าใจในสิทธิและเห็นใจ ส.จ.ปฐมภพ ว่าเป็นไปตามครรลองเพื่อทวงสิทธิที่ตนคิดว่าจะได้ ซึ่งต้องให้กระบวนการทางศาล ทางกฎหมายได้เป็นผู้ตัดสิน จากนี้ต่อไปก็คงจะต้องเป็นหน้าที่ของศาลปกครองสูงสุดที่จะขี้ขาดเรื่องดังกล่าว
ทั้งนี้ นายปฐมภพ ถูกคำพิพากษาจากศาลจังหวัดกำแพงเพชร เมื่อปี 2557 ว่ามีความผิดตามมาตรา 62 และมาตรา 122 พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น ซึ่ง อบจ.กำแพงเพชร ได้ส่งหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร (ขณะนั้น) ให้วินิจฉัยสมาชิกภาพของนายปฐมภพ ตามหนังสือ ที่ กพ.0023.4/6318 ลงวันที่ 24 ก.ค.2557 นั้น แต่ทางผู้ว่าฯ แจ้งว่า “กรณีนี้จึงมิใช่เป็นการสอบสวนและวินิจฉัยของผู้ว่าราชการจังหวัดตามมาตรา 11 วรรคสามแห่ง พ.ร.บ.องค์การบริหารส่วนจังหวัด แต่อย่างใด”
ซึ่งต่อมา นายปฐมภพ แจ้งว่าในการประชุมทุกครั้งของสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดไม่เคยมีหนังสือเชิญให้เข้าร่วมการประชุมจากทาง อบจ.เลยตั้งแต่ปี พ.ศ.2557 จนถึงปัจจุบันรวมกว่า 6 ปี จนเป็นที่มาของการฟ้องร้องต่อศาลปกครองพิษณุโลก กระทั่งศาลปกครองมีคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้อง (นายก อบจ.ขณะนั้น) ถอนการชะลอการเบิกจ่ายค่าตอบแทนโดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่ที่มีคำสั่งคำพิพากษา
นอกจากนี้ นายปฐมภพ ยังแจ้งความดำเนินคดีต่อนายสุนทร รัตนากร นายก อบจ.กำแพงเพชร ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบกรณีที่ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นที่มีคำพิพากษามาเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ว่าตนนั้นยังมีฐานะ หรือยังมีสมาชิกภาพการเป็น ส.จ.อยู่ และกลั่นแกล้งตนโดยการออกหนังสือไปที่ กกต.แจ้งว่าตนหมดการเป็นสมาชิกภาพ ซึ่งทาง กกต.ก็ได้มีหนังสือออกมาแล้วว่าตนนั้นยังมีสภาพการเป็น ส.จ.อยู่ เนื่องจากยังไม่มีคำสั่งให้พ้นจากการปฏิบัติหน้าที่แต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน นายปฐมภพ ยังร้องต่อศาลปกครองชั้นต้น จ.พิษณุโลก ด้วยว่า ตนได้รับเลือกตั้งจากประชาชนให้เป็น ส.จ.แล้ว โดยได้เข้าปฏิบัติหน้าที่ของ ส.จ.เพียง 1 ปี 4 เดือนเท่านั้น หลังจากนั้นก็มีคำสั่งให้ชะลอเงินเดือนตน และไม่ได้รับเงินเดือนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ต่อมา ศาลปกครองก็ได้มีคำพิพากษามาว่าการสั่งชะลอเงินเดือนนั้นไม่ถูกต้อง
จากนั้น นายปฐมภพ ได้ทำหนังสือไปยัง อบจ.กำแพงเพชร เพื่อให้ อบจ.ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น แต่ไม่มีการตอบรับ อย่างไรก็ตาม อบจ.กำแพงเพชร ได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นเช่นกัน