ศูนย์ข่าวศรีราชา - สัสดีจังหวัดชลบุรี โร่ขอโทษครอบครัวตัญกาญจน์ เหตุปลุก “น้องเมย” เกณฑ์ทหาร ด้านครอบครัวแถลงไม่เคยรับเงินเยียวยา 10 ล้านตามข่าวลือที่ยังมีต่อเนื่อง ลั่นเดินหน้าขอความเป็นธรรม กมธ.สภาผู้แทนราษฎร หลัง 3 ปีคดีไม่คืบ
จากกรณีที่ นางสุกัลยา ตัญกาญจน์ แม่ของนักเรียนเตรียมทหาร ภัคพงค์ ตัญกาญจน์ หรือน้องเมย ซึ่งเสียชีวิตปริศนาภายในโรงเรียนเตรียมทหาร เมื่อวันที่ 17 ต.ค.2560 ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวเพื่อบอกกล่าวกับบุตรชายที่เสียชีวิตไปว่าไม่ให้หนีทหาร และให้รีบกลับมาเพราะไม่เช่นนั้นอาจโดนคดีอาญาพร้อมโพสต์ภาพหนังสือราชการที่ออกโดยที่ทำการสัสดีอำเภอเมืองชลบุรี เพื่อแจ้งมายัง “น้องเมย” ให้ไปแสดงตนเพื่อขอรับหมายเรียกเข้ารับราชการทหาร ประจำปี 2563 จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงการทำงานของหน่วยงานราชการไทยเป็นวงกว้างนั้น
ล่าสุด เมื่อเวลา 13.00 น.วันนี้ (18 ส.ค.) ครอบครัวตัญกาญจน์ ที่ประกอบด้วย นายพิเชษฐ์-นางสุกัลยา และ น.ส.สุพิชา ตัญกาญจน์ ได้เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนอีกครั้งทั้งในเรื่องของการได้รับหนังสือเรียกตัวเกณฑ์ทหารของ “น้องเมย ” และกระแสข่าวลือเรื่องเงินเยียวยา 10 ล้านบาทที่ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดย น.ส.สุพิชา เผยว่า หลังเกิดประเด็นเรื่องการได้รับหนังสือเรียกตัวให้เข้ารับการเกณฑ์ทหารของ “น้องเมย” ปรากฏว่าในช่วงเช้าที่ผ่านมา สัสดีจังหวัดชลบุรีและสัสดีอำเภอเมืองชลบุรี ได้เข้าแสดงความเสียใจต่อครอบครัวพร้อมยืนยันว่าไม่มีเจตนาที่จะตอกย้ำ หรือย้ำปมเรื่องการเสียชีวิตของน้องชาย แต่น่าจะเกิดจากความผิดพลาดทางข้อมูลระหว่างอำเภอต่ออำเภอ อีกทั้งระบบข้อมูลของพลเรือนกับระบบของทหารยังไม่เชื่อมต่อกัน
“ทางครอบครัวคิดว่าการเรียกเกณฑ์ทหารอาจจะต้องมีหนังสือฉบับแรกส่งมาทางครอบครัวก่อนเพื่อแจ้งเตือนผู้ที่เข้าเกณฑ์ให้ไปรับการเกณฑ์ทหารและหากผู้ถูกเรียกไม่ไปจึงจะมีหนังสือฉบับเดียวกันกับที่ครอบครัวได้รับแต่ “น้องเมย” สังกัดอยู่ที่โรงเรียนเตรียมทหาร ดังนั้น การแจ้งตายจึงเชื่อว่าทางโรงเรียนน่าจะเป็นผู้จัดการและที่ผ่านมาทางครอบครัวก็ไม่เคยได้รับติดต่อ หรือประสานงานใดๆ”
น.ส.สุพิชา บอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวถือเป็นเรื่องตลกร้ายและเชื่อว่าสัสดีจังหวัดและสัสดีอำเภอ ไม่มีเจตนาที่จะทำให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้น แต่เชื่อว่าข้อผิดพลาดต่างๆ น่าจะเกิดจากความล้าหลังในการจัดเก็บข้อมูลของหน่วยงานทหาร วันนี้จึงอยากเสนอต่อทางกองทัพให้พิจารณาเรื่องของการจัดสรรงบประมาณว่า น่าจะให้ความสำคัญต่อการพัฒนาระบบข้อมูลและเทคโนโลยีสารสนเทศมากกว่าการนำไปจัดซื้อยุทโธปกรณ์
เตรียมยื่นขอความเป็นธรรม กมธ.สภาผู้แทนราษฎร หลัง 3 ปีคดีไม่คืบ
ขณะที่ความคืบหน้าในการหาความเป็นธรรมให้แก่การเสียชีวิตของน้องชายนั้น น.ส.สุพิชา เผยว่า ที่ผ่านมาการยื่นฟ้องหรือการแจ้งความดำเนินคดีต่างๆ ที่ทางครอบครัวทำมาตลอดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยได้เข้าแจ้งความต่อผู้ที่เชื่อว่ามีส่วนต่อการเสียชีวิตของน้องชายที่ สภ.บ้านนา และ สภ.นครนายก ถึงวันนี้ยังคงเงียบหายโดยเฉพาะเรื่องของผลชันสูตรการเสียชีวิตที่ยังอยู่ในชั้นอัยการ ส่วนอีกหนึ่งคดีได้ถูกยกฟ้อง
ในวันนี้ทางครอบครัวจึงเตรียมที่จะนำหลักฐานใหม่เข้าแจ้งความเอาผิดต่อข้าราชการทหารบางนายที่ สภ.พญาไท ซึ่งเชื่อว่าบุคคลผู้นี้น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายและมีส่วนต่อการเปลี่ยนแปลงข้อมูลจนทำ ไม่สามารถสรุปสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงได้
นอกจากนั้น ยังจะเข้าข้อความเป็นธรรมต่อคณะกรรมาธิการ สภาผู้แทนราษฎรในทุกกรณีที่ทางครอบครัวเชื่อว่าการเสียชีวิตของ “น้องเมย ” ไม่ใช่เกิดจากหัวใจล้มเหลว
“คดีการเสียชีวิตของเมย ไม่น่าจะต่างจากคดีของนายบอส โดยคดีของนายบอส เป็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงความเร็วของรถ แต่คดีของเมย เป็นเรื่องของการใช้เทคนิคบางประการที่ทำให้ในวันนี้หน่วยงานเกี่ยวข้องไม่สามารถสรุปสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง เพื่อนำสู่การดำเนินคดีผู้ที่เกี่ยวข้องได้ เราจึงมั่นใจว่าหลักฐานใหม่ที่มีน่าจะเอาผิดกับข้าราชการทหารคนนี้ได้ ”
น.ส.สุพิชา ยังเผยถึงกระแสข่าวลือเรื่องการรับเงินเยียวยา จำนวน 10 ล้านบาทที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่องว่า ไม่เป็นความจริงเพราะทุกวันนี้ทุกคนในครอบครัวยังต้องทำงานหาเงินเป็นค่าทนายและการต่อสู้คดีให้แก่น้องชาย โดยตนเองมีรายได้จากการรับเป็นที่ปรึกษาคดีและเมื่อว่างจากงานก็ต้องมาช่วยผู้เป็นแม่ทำขนมส่งขาย เช่นเดียวกับผู้เป็นบิดายังต้องทำงานประจำเพื่อให้มีรายได้
ที่สำคัญที่ผ่านมายังไม่เคยได้รับการติดต่อหรือได้รับความช่วยเหลือจากทางโรงเรียนเตรียมทหารหรือแม้แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด
“หากเท้าความไปตั้งแต่ตอนจัดงานฌาปนกิจศพ เราก็ได้รับแจ้งจากโรงเรียนเตรียมทหารเรื่องการจัดงานศพว่าโรงเรียนจะรับผิดชอบในจุดนี้ แต่วันนี้เงินที่เราได้มา 1 แสนบาทเราก็ยังไม่รู้เลยว่าเป็นเงินที่ใส่ซองมาช่วยงานหรือเงินจัดงานศพ และทุกวันนี้ทางครอบครัวก็ยังไม่ใช้เงินจำนวนดังกล่าว จึงขอยืนยันว่าเราไม่เคยได้รับเงินต่างๆ ตามข่าวลือ ส่วนกรณีที่ว่าทำไมเราเงียบไป เพราะมันยังไม่มีเรื่องอะไรใหม่จึงไม่ได้แจ้งต่อสื่อมวลชน แต่วันนี้เราพร้อมแล้วที่จะบอกว่าเรามีหลักฐานที่จะเอาผิดเพิ่มกับบุคคลที่เราเชื่อว่ามีส่วนสำคัญในการเตะถ่วงเรื่องผลสรุปสาเหตุการเสียชีวิตของน้อง” น.ส.สุพิชา กล่าว