เลย - ผบก.ภ.จว.เลยพร้อม ผกก.สภ.เมืองเลยเปิดโต๊ะแถลงยังไม่มีการออกหมายจับ “เพนกวิน” ผิด ม.112 เผยพนักงานสอบสวนที่อยู่เวรเป็นหญิง ถูกกดดันให้รับแจ้งความ ตามขั้นตอนต้องสืบค้นรวบรวมพยานหลักฐานก่อนว่ามีมูลกระทำผิดตามข้อกล่าวหาหรือไม่ ติงผู้แจ้งแทนที่จะช่วยตำรวจหาพยานหลักฐานกลับนำสำเนาบันทึกประจำวันโพสต์เฟซบุ๊กทำให้ผู้ถูกแจ้งความตกใจ และส่อผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
จากกรณีพนักงานสอบสวน สภ.เมืองเลยได้ลงบันทึกประจำวัน เมื่อวันที่ 12 ส.ค. 63 เวลา 10.23 น. นายสุขสันต์ เวียงจันทร์ อายุ 59 ปี ภูมิลำเนาที่อำเภอเมือง จังหวัดเลย ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองเลย ให้ดำเนินคดีต่อ นายพริษฐ์ ชีวารักษ์ อายุ 24 ปี หรือเพนกวิน โดยกล่าวหาว่า “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์” โดยพนักงานสอบสวนได้ลงบันทึกประจำวันไว้แล้ว
ต่อมานายเพนกวินได้นำสำเนาบันทึกประจำวันดังกล่าวไปโพสต์บนเฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมกับเขียนข้อความในทำนองว่าตนถูกแจ้งความและตำรวจได้ออกหมายจับ ร้องขอให้พรรคพวกออกมาร่วมปกป้อง พร้อมอ้างว่าถูกรังแกถูกไล่ล่าจากผู้มีอำนาจ
ล่าสุดเมื่อช่วงดึกของคืนที่ผ่านมา (13 ส.ค.) พล.ต.ต.วิบูลย์ วงก้อม ผบก.ภ.จว.เลย พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิสมัย ผกก.สภ.เมืองเลย พร้อมกับ พ.ต.อ.ยุทธนา งามชัด ผกก.สอบสวน สภ.เมืองเลย ได้เปิดแถลงข่าวชี้แจงว่า การเข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันของนายสุขสันต์นั้นยังไม่มีการลงรับหมายเลขคดีนายพริษฐ์ ชีวารักษ์ หรือเพนกวิน และยังไม่มีการตั้งข้อหาใดๆ
ขั้นตอนกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ในส่วนคนแจ้งความนำเอกสารไปโพสต์ลงในเฟซบุ๊ก ทำให้บุคคลอื่นเข้าใจผิด ส่อผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
พล.ต.ต.วิบูลย์ วงก้อม ผบก.ภ.จว.เลย กล่าวว่า ในช่วงที่มีการแจ้งความ ผู้บังคับบัญชาทั้งระดับโรงพัก และภูธรจังหวัดได้ประกอบงานราชพิธีและจิตอาสาเนื่องในวันแม่ พนักงานสอบสวนซึ่งเป็นผู้หญิงเพิ่งย้ายเข้ามาทำงาน และได้ชี้แจงขั้นตอนของการรับแจ้งความ และการสอบสวนในคดีดังกล่าว ซึ่งมีความละเอียดอ่อน แต่ผู้แจ้งได้แสดงกิริยาและใช้คำพูดในเชิงกดดันพนักงานสอบสวนว่าพนักงานสอบสวนต้องรับแจ้งความในเรื่องที่เขาต้องมาแจ้ง
พนักงานสอบสวนจึงได้สอบถามถึงพยานหลักฐานที่เขามีอยู่ ปรากฏว่าผู้แจ้งได้บอกว่าเป็นหน้าที่ของทางตำรวจจะต้องแสวงหาพยานหลักฐานเอาเอง และต้องรับแจ้งเรื่องของเขาให้ได้ ถ้าไม่รับแจ้งก็จะต้องมีเรื่องมีราว พนักงานสอบสวนจึงได้รับแจ้งไว้เพื่อทำการสอบสวน
ดังนั้นหลังรับแจ้งลงบันทึกประจำวันยังไม่ได้มีการลงเลขคดี ซึ่งเป็นขั้นตอนของพนักงานสอบสวนจะต้องไปรวบรวมพยานหลักฐาน และรายงานผู้บังคับบัญชาตามขั้นตอน ซึ่งคดีอย่างนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้วางขั้นตอนการสอบสวนไว้อย่างละเอียดอยู่แล้ว ในเบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้มีการรับแจ้งไว้ก่อน แล้วค่อยไปรวบรวมหาพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปประกอบคดี และต้องเสนอผู้บังคับบัญชาต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม พล.ต.ต.วิบูลย์กล่าวอีกว่า ผู้แจ้งแทนที่แจ้งความแล้วจะช่วยพนักงานสอบสวนแสวงหาพยานหลักฐาน กลับนำเอาเอกสารไปโพสต์เผยแพร่บนสื่อออนไลน์ทำให้เกิดการสับสนในสังคมว่าได้แจ้งความแล้วจะต้องออกหมายจับ ทำให้ผู้ที่ถูกกล่าวอ้างถึงเกิดความตกใจ วิตกกังวล ความจริงเป็นแค่พนักงานสอบสวน เพียงรับแจ้งเพื่อจะทำการสอบสวนเท่านั้นเอง
“ที่สำคัญทางพนักงานตำรวจต้องสืบมูลให้ได้ก่อนว่าสิ่งที่เขามาแจ้งมีการกระทำจริงหรือไม่ ถ้ามีการกระทำเกิดขึ้นจริงต้องพิสูจน์ต่อว่าเป็นอาญาหรือไม่ การทำคดีมันมีขั้นตอนชัดเจน ดังนั้น เวลานี้ยังไม่มีการขอหมายจับแต่อย่างใดทั้งสิ้น ส่วนคนแจ้งนำสำเนาเอกสารไปโพสต์นั้นอาจส่อว่ากระทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์” พล.ต.ต.วิบูลย์กล่าว