ศูนย์ข่าวเชียงใหม่-ผู้ใหญ่บ้านทีมสายตรวจไฟป่าดอยสุเทพจี้ “ฌอน” โผล่แจงให้ชัดเจนกรณีเงินบริจาคอ้างช่วยดับไฟป่า ยันชาวบ้านและอาสาสมัครที่เสียสละทำงานไม่เคยได้รับการสนับสนุนใดๆ หวั่นอนาคตคนไม่กล้าบริจาค ทำบั่นทอนกำลังใจ
ความคืบหน้ากรณี “ฌอน บูรณะหิรัญ” ไลฟ์โค้ชและเน็ตไอดอลชื่อดังที่ถูกสังคมตั้งประเด็นสงสัยเกี่ยวกับความโปร่งใสเรื่องเงินรับบริจาคช่วยอาสาสมัครดับไฟป่าดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ โดยเรียกร้องให้ชี้แจงบัญชีรายรับจ่ายอย่างละเอียด อย่างไรก็ตาม “ฌอน” ยังคงเก็บตัวเงียบ พร้อมกับถูกขุดคุ้ยประวัติอีกหลายเรื่อง เช่น เรื่องของที่ตั้งร้านกาแฟ เต่า คาเฟ่(TAO Cafe and Community) และพื้นที่ในโครงการ Dream Space Gallery ย่านถนนระแกง ในตัวเมืองเชียงใหม่ ซึ่ง "ฌอน" เคยนำชมและให้สัมภาษณ์ออกรายการโทรทัศน์ระบุว่าเป็นบ้านของตัวเอง แต่ความจริงปรากฏว่าเป็นของเอกชนรายหนึ่งที่อนุญาตให้ "ฌอน" เข้าไปใช้พื้นที่ฟรี โดยจ่ายเพียงค่าน้ำค่าไฟเท่านั้น ไม่ใช่บ้านหรือที่ดินที่ "ฌอน" เป็นเจ้าของแต่อย่างใด รวมทั้งล่าสุดมีกระแสข่าวว่า “ฌอน” เดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว
นายกมลรัฐ ลิ้มไขแสง หรือ “พ่อหลวงอุ๋ย” ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 6 บ้านโป่งน้อย ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งหมู่บ้านอาสาเฝ้าระวังและดับไฟป่าในช่วงที่เกิดสถานการณ์ไฟไหม้ป่าดอยสุเทพอย่างรุนแรง และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งทีมรถจักรยานยนต์วิบากสายตรวจไฟป่าของตำบลสุเทพ เปิดเผยว่า กรณีการเปิดรับบริจาคของ “ฌอน” นั้น เคยทราบจากข่าวและเข้าใจมาโดยตลอดว่ามีการประสานกับหน่วยงานราชการในการที่จะนำส่งการช่วยเหลือสนับสนุนต่อให้กับชาวบ้านและอาสาสมัครที่ทำงานในการดับไฟป่า กระทั่งมาทราบในภายหลังว่าไม่ได้มีการประสานใดๆ ผ่านทางหน่วยงานราชการ ขณะที่ในส่วนของชาวบ้านในพื้นที่ยืนยันว่าไม่เคยได้รับการช่วยเหลือใดๆ จาก “ฌอน” รวมทั้งศิลปินดาราและคนดังอื่นๆ ด้วย เพราะปกติจะรับผ่านทางหน่วยงานราชการเท่านั้น ซึ่งจากกรณีที่เกิดขึ้นอยากเรียกร้องให้ “ฌอน” ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงอย่างละเอียดโดยเร็ว
โดยจากกรณีที่เกิดขึ้นสร้างความกังวลและไม่สบายใจให้กับชาวบ้านและอาสาสมัครเฝ้าระวังดับไฟป่าอย่างมาก เพราะต้องยอมรับความจริงว่าปัญหาอุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งของชาวบ้านและอาสาสมัครในการทำงานช่วยจัดการไฟป่านั้นเป็นเรื่องงบประมาณ ที่ลำพังของทางราชการอย่างเดียวไม่เพียงพอ ขณะที่ชาวบ้านและอาสาสมัครต่างทำงานด้วยใจเสียสละและไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ ทำให้มีความจำเป็นต้องมีการรับบริจาคในเรื่องอาหารการกินและอุปกรณ์การทำงาน เพื่อไม่ให้เป็นภาระของชาวบ้านและอาสาสมัครที่อุตส่าห์เสียสละลงแรงแล้ว ซึ่งปกติประชาชนและภาคเอกชนจะบริจาคสนับสนุนผ่านหน่วยงานราชการ เช่น อำเภอ,เทศบาล หรือทางอุทยานฯ อย่างไรก็ตามเมื่อเกิดกรณีนี้ขึ้นทุกคนที่ทำงานต่างเกิดความกังวลใจว่าในอนาคตจะไม่มีใครกล้าบริจาคอีก ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นการบั่นทอนกำลังใจคนเสียสละทำงานอย่างมาก
ทั้งนี้นายกมลรัฐ ระบุว่า ชาวบ้านในพื้นที่ รวมทั้งอาสาสมัคร ถือว่ามีบทบาทอย่างยิ่งในการจัดการไฟป่ารอบบริเวณดอยสุเทพ โดยมีการทำงานกันตลอดทั้งปีแม้ว่าจะไม่ได้รับค่าตอบแทน เพราะตระหนักดีว่าพื้นที่ป่าดอยสุเทพนั้นเป็นหัวใจของเมืองเชียงใหม่ จึงต้องการจะป้องกันให้ปราศจากปัญหาไฟป่า โดยในช่วงที่ไม่มีไฟป่าจะร่วมกันทำแนวกันไฟและทำฝายชะลอน้ำ รวมทั้งปลูกป่าเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นลดความเสี่ยงที่จะเกิดไฟไหม้ป่า ขณะที่เมื่อเข้าช่วงไฟป่าจะมีการจัดเวรเฝ้าระวัง แจ้งเตือนและช่วยดับไฟป่าด้วย ซึ่งการบริจาคช่วยเหลือสนับสนุนการทำงานถือเป็นเรื่องที่ดีและเป็นการแบ่งเบาภาระให้กับชาวบ้านที่เสียสละแทนที่จะต้องรับผิดชอบดูแลตัวเองทั้งหมด
สำหรับสถานการณ์ไฟไหม้ป่าดอยสุเทพในปีล่าสุดนั้น ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 6 บ้านโป่งน้อย ตำบลสุเทพ แสดงความเห็นว่า รุนแรงที่สุดในรอบ10ปีที่ผ่านมา ซึ่งหากมองในแง่ดีแล้วมีความเป็นไปได้ว่าในปีหน้าสถานการณ์อาจจะไม่รุนแรงเหมือนปีนี้ เพราะจะทำให้เกิดการเฝ้าระวังมากยิ่งขึ้นและเชื้อเพลิงในป่าลดน้อยลง อย่างไรก็ตามในอีกแง่มุมหนึ่งยอมรับว่าทำให้ชาวบ้านที่ทำงานช่วยจัดการไฟป่าอาจจะเกิดความเป็นห่วงและเกรงกลัวขึ้นมาเช่นกันว่า หากเกิดสถานการณ์รุนแรงมากๆ จะเกินกำลังของชาวบ้านหรือไม่ แต่ทั้งนี้โดยส่วนตัวยังเชื่อมั่นว่าหากทุกฝ่ายร่วมมือกันอย่างจริงจังแล้ว ทุกปัญหาสามารถผ่านพ้นไปได้อย่างแน่นอน.