ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - เปิดตัว! คุณตาวัย 72 ปี อดีต จนท.มช.เจ้าของตัวจริง “พี่เตี้ย” เล่าประวัติความเป็นมาละเอียดยิบ เผยไม่เคยคิดแสดงตัว แต่สุดสะเทือนใจรู้ข่าวการตายทรมาน เตรียมร่วมวอชด็อกดำเนินการตามกฎหมายทวงความยุติธรรม
ความคืบหน้ากรณีการตายของ “เตี้ย มช.” สุนัขเซเลบชื่อดังที่เป็นที่รักของนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่และคนรักสุนัข ซึ่งถูกพบเป็นซากเน่าอืดถูกทิ้งไว้ในป่าหญ้าข้างทางในซอยเปลี่ยวตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 63 หลังจากที่หายตัวไปวันที่ 4 พ.ค. 63 จนมีการประกาศตามหาตัว แล้วต่อมา ตชด.หนุ่มต้องสงสัยคนดังกล่าวได้เข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจสารภาพว่าเป็นคนรับสุนัขขึ้นรถจักรยานยนต์ออกมาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ขี่รถเล่น แต่ระหว่างนั้นสุนัขได้กระโดดลงจากรถและถูกล้อหลังของรถจักรยานยนต์ทับตาย โดยปฏิเสธยืนยันว่าไม่ได้ทำทารุณกรรมแต่อย่างใดทั้งสิ้น ขณะที่ทางมูลนิธิวอชด็อก ไทยแลนด์ ไม่เชื่อและแจ้งความดำเนินคดีข้อหาทารุณกรรมสัตว์ต่อผู้ต้องสงสัย รวมทั้งล่าสุดแจ้งว่าสามารถติดต่อประสานกับทางเจ้าของที่แท้จริงของ “เตี้ย มช.” ได้แล้ว ในการที่จะเป็นเจ้าทุกข์เข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อผู้ต้องสงสัย
วันนี้ (21 พ.ค.) จากการตรวจสอบทราบว่าเจ้าของที่แท้จริงของ “เตี้ย มช.” คือ นายสมศักดิ์ ไชยวงค์ อายุ 72 ปี อดีตเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่มีบ้านพักอาศัยอยู่ย่านชุมชนเจ็ดยอด ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเปิดเผยว่าเตี้ย มช.เป็นสุนัขของตัวเองและครอบครัว ที่บ้านตั้งชื่อว่า “ช้าง” เกิดพร้อมกับพี่น้องท้องเดียวกันรวม 5 ตัว เมื่อช่วงประมาณเดือน ก.พ. 2555 จากแม่ที่ชื่อ “ถุงเงิน” ที่ปัจจุบันอายุประมาณ 12 ปี และยังมีชีวิตอยู่ที่บ้าน พร้อมกับน้องของเตี้ย มช.อีก 2 ตัว
โดย “ช้าง” หรือ “เตี้ย มช.” ที่คนส่วนใหญ่รู้จักนั้นมีนิสัยเป็นมิตรและชอบเล่นกับคนตั้งแต่เล็กๆ แล้ว ซึ่งเมื่ออายุได้เพียงประมาณ 6 เดือน หรือช่วงปลายปี 2555 ก็เริ่มตามคนออกเที่ยวแล้วจากละแวกใกล้ๆ บ้าน และขยับออกไปไกลจนถึงมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยในช่วงแรกยังกลับบ้านบ้าง จนกระทั่งในช่วง 3 ปีหลังมานี้แทบจะไม่ได้กลับมาเลยและใช้ชีวิตอยู่ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นหลัก ครั้งสุดท้ายที่เตี้ย มช.กลับมาบ้านน่าจะประมาณปีที่แล้ว และมาเพียงวันเดียวก็กลับไป
อย่างไรก็ตาม ตลอดช่วงเวลาที่เตี้ย มช.ใช้ชีวิตอยู่ในมหาวิทยาลัยนั้น ตัวเองมักจะแวะเวียนไปเที่ยวหาอยู่เสมอ เพราะปกติในช่วงเช้าของทุกวันจะออกกำลังกายด้วยการขี่จักรยานขึ้นดอยสุเทพ และขากลับจะขี่เข้าไปหาในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ช่วงแรกพบว่าเตี้ย มช.มักจะนอนอยู่บริเวณศาลาธรรม จนต่อมาใช้ชีวิตอยู่ที่ภาควิชาคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ เป็นหลัก โดยมีนักศึกษาเอ็นดูรักใคร่ให้อาหารกินและดูแลอย่างดี ซึ่งมีครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนตัวเองเคยพยายามจะพาเตี้ย มช.กลับบ้านด้วยการขี่จักรยานและผูกเชือกจูงกันมา แต่เตี้ย มช.กลับมาอยู่ได้เพียง 2-3 วันก็กลับไปอยู่ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่อีกเหมือนเดิม สุดท้ายจึงตัดสินใจปล่อยให้เตี้ย มช.ใช้ชีวิตอย่างอิสระตามความต้องการ เพราะเห็นว่ามันมีความสุขดีและวางใจได้ว่าได้รับการดูแลอย่างดีจากคนที่รักใคร่มัน
ทั้งนี้ นายสมศักดิ์บอกว่า ตอนแรกไม่คิดว่าเตี้ย มช.จะกลายเป็นสุนัขชื่อดังที่มีคนรู้จักและรักใคร่มากมายเช่นนี้ จนครั้งหนึ่งในช่วงที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จัดงานประเพณีรับน้องขึ้นดอย เห็นเตี้ย มช.วิ่งขึ้นดอยด้วยกับนักศึกษาและกลายเป็นข่าวโด่งดัง ซึ่งดีใจด้วยกับเตี้ย มช.ที่มีคนรู้จักและรักใคร่มากมายเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม ทั้งตนเองและครอบครัวไม่เคยคิดแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของดั้งเดิมของเตี้ย มช.เลย แต่ยังผูกพันกันอยู่ในฐานะเจ้าของ และเตี้ย มช. หรือ “ช้าง” ก็ยังจำได้ เพราะทุกครั้งที่ตนเองหรือคนในครอบครัวแวะเวียนไปหาหรือเจอกับเตี้ย มช. โดยเรียกชื่อว่าช้าง มันยังจำได้และวิ่งเข้ามาหาพร้อมเล่นด้วยอย่างมีความสุขและคุ้นเคยทุกครั้ง
สำหรับการตายของเตี้ย มช.นั้น นายสมศักดิ์เปิดเผยว่า เมื่อทราบข่าวครั้งแรกรู้สึกตกใจและเสียใจอย่างมาก แม้จะไม่ได้เลี้ยงดูเตี้ย มช.อยู่ที่บ้าน แต่ตัวเองยังรักใคร่ผูกพันในฐานะเจ้าของอยู่ดี เพราะเห็นมาตั้งแต่ครั้งแรกที่ลืมตาดูโลก และทุกวันนี้ “ถุงเงิน” แม่ของเตี้ย มช. ก็ยังอยู่ที่บ้านของตัวเอง พร้อมกับน้องอีก 2 ตัว อย่างไรก็ตามยิ่งรู้สึกสะเทือนใจยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อทราบว่ามีความเป็นไปได้ที่เตี้ย มช.อาจจะถูกทารุณกรรมหรือถูกฆ่าให้ตาย ซึ่งมองว่าเป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมเกินไป และอยากจะถามคนที่ทำเช่นนั้นทำได้อย่างไรกับเตี้ย มช.ที่เป็นมิตรกับทุกคนและไม่มีทางสู้ โดยจากเดิมที่ไม่เคยคิดว่าจะแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของ เมื่อได้รับการติดต่อประสานงานจากมูลนิธิวอชด็อก ไทยแลนด์ ให้ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อผู้ต้องสงสัย จึงพร้อมที่จะแสดงตัวเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้เตี้ย มช. โดยในส่วนของการดำเนินการตามกฎหมายนั้น จะมอบหมายให้ทางมูลนิธิฯ เป็นตัวแทนดำเนินการให้จนถึงที่สุดเพื่อทำให้ความจริงปรากฏ