พระนครศรีอยุธยา - เจ้าหน้าที่ตำรวจบุกรวบพ่อค้ายาเสพติด โดยผ่าน Twitter รายสำคัญขณะส่งไอซ์ ใส่พัสดุพร้อมส่งกว่า 60 ห่อ โดยใช้ขนส่งเอกชนในการจัดส่ง
วันนี้ (14 พ.ค.) พล.ต.ท.วิสนุ ปราสาททองโอสถ ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.ชินภัทร สารสิน ผบช.ปส. พล.ต.ต.ชัช สุขแก้วณรงค์ ผบก.ทล. ร่วมแถลงผลการจับกุมผู้ค้ายาเสพติดทางออนไลน์ในสถานการณ์วิกฤตไวรัสโควิด-19 สามารถจับกุม นาย ธนศักดิ์ ศรีสุวรรณ อายุ 32 ปี ที่อยู่ 17/8 หมู่ที่ 7 ตำบลหนองจระเข้ อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี พร้อมของกลางยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์ ) ซุกซ่อนมาในห่อพัสดุ จำนวน 60 ห่อ และได้ทำการตรวจยึดรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ สีขาว หมายเลขทะเบียน บร 7278 กาฬสินธุ์ 1 คัน
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปส.3 บช.ปส. ร่วมกับ บก.ทล.บชก. สามารถจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ คือ นายธรศักดิ์ ศรีสุวรรณ อายุ 32 ปี ตามหมายจับของศาลอาญาที่ 184/2563 ซึ่งพฤติการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการติดตามและตรวจสอบผู้ที่ใช้ Twitter “ร้านน้ำแข็ง #ไฮ Hicool & Ecushop” ซึ่งเป็นเพจที่มีลักษณะลักลอบขายยาเสพติดผ่านทวิตเตอร์ ที่มีผู้ติดตามมากว่า 2,000 คน มีการจัดส่งให้ลูกค้าทั่วประเทศ และยังมีการแจกรางวัลโดยการจับฉลาก จัดส่งยาเสพติดเป็นรางวัลไปให้แก่ลูกค้า
โดยจะตระเวนไปตามแหล่งชุมชนต่างๆ ในพื้นที่ภาคกลาง เพื่อเปิดที่พักและใช้ร้านพัสดุส่งเอกชนในพื้นที่ทำการลักลอบส่งยาเสพติด เป็นการกระทำที่ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด จึงได้ทำการสืบสวนจนทราบว่าคนร้ายคือ นายธนศักดิ์ ศรีสุวรรณ จากการติดตามจับกุม เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการติดตามตัวนายธนศักดิ์ จนพบนายธนศักดิ์ ขับรถยนต์กระบะมาที่ร้านรับส่งพัสดุดังกล่าว เพื่อส่งพัสดุ และพบว่าได้นำพัสดุ จำนวน 2 ถุงใหญ่นำมาส่งที่เคาน์เตอร์พนักงาน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเข้าทำการแสดงตัวเข้าจับกุมตามหมายจับ
จากการตรวจสอบพัสดุพบว่า มียาไอซ์ บรรจุถุงใสในปริมาณต่างๆ ซุกซ่อนปะปนอยู่ในเสื้อผ้า กระเป๋าผ้าที่บรรจุมาในห่อพัสดุ จำนวน 60 ห่อ จึงได้ทำการจับกุมพร้อมยึดของกลางทั้งหมดดำเนินคดีตามกฎหมาย ในข้อหา “มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์ หรือเมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย และโฆษณายาเสพติดให้โทษโดยมิได้รับอนุญาต” พร้อมจะขยายผลเพื่อติดตามขบวนการยาเสพติด ตามยุทธการสยบไพรี 63/10 บช.ปส.ได้ทำการสืบสวน 25 เพจ รวมจำนวน 50 เป้าหมาย ซึ่งกรณีนี้เป็น 1 ใน 50 เป้าหมาย