บุรีรัมย์ - ลุงวัย 56 ชาวคูเมือง จ.บุรีรัมย์ ร้องสอบเอาผิดผู้ใหญ่บ้านแจ้งตายลูกบ้านที่หายตัว 8 ปี เชื่อหวังเงินฌาปนกิจศพ 8 หมื่นที่มีชื่อเมียโผล่รับผลประโยชน์ ก่อนโร่แก้ไขคืนสถานะให้เหมือนเดิม ขณะเจ้าตัวยอมรับไปแจ้งตายแต่ยันไม่มีเจตนาแอบแฝง ล่าสุด ปธ.ชมรมฯ แฉซ้ำ ผญบ.ดำเนินการเองและผิดตั้งแต่ต้น
วันนี้ (1 พ.ค. ) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านบ้านหนองกระทุ่ม ต.ตูมใหญ่ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ ว่าผู้ใหญ่บ้านแจ้งตายลูกบ้านตัวเองแทนญาติ แล้วพยายามเบิกเงินฌาปนกิจศพเกือบ 80,000 บาท อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะเคยร้องเรียนมาตั้งแต่ปลายปี 2562 จนถึงขณะนี้ผ่านมานานร่วม 5 เดือนแล้วแต่เรื่องยังเงียบ เกรงว่าจะมีผลประโยชน์ทับซ้อนนั้น
นายต่วน ดีชัยรัมย์ อายุ 59 ปี ผู้ที่ร้องเรียนได้ให้ข้อมูลว่า นายสมเกียรติ บริสุทธิ์ อายุ 51 ปี หลานชายของตัวเองซึ่งพ่อแม่เสียชีวิตไปหมดแล้วได้ออกจากบ้านไปทำงานอยู่กับญาติที่ จ.ระยอง เมื่อประมาณ 7-8 ปีที่ผ่านมา แต่ไม่เคยกลับบ้าน ญาติที่ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ เข้าใจว่าน่าจะอยู่กับญาติที่ จ.ระยอง กระทั่งเมื่อเดือนธันวาคม 2562 ที่ผ่านมามีคณะกรรมการชมรมฌาปนกิจศพผู้สูงอายุตำบลตูมใหญ่ มาเก็บเงินค่าศพ ศพละ 50 บาท เมื่ออ่านดูใบเสร็จรับเงินพบว่าผู้ตายคือนายสมเกียรติ หลานชายของตัวเองที่ออกจากบ้านไปเมื่อ 8 ปีที่แล้ว
เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดพบว่าผู้ที่แจ้งว่าหลานชายเสียชีวิต คือ นายสมศักดิ์ พรภิญโญยิ่ง ผู้ใหญ่บ้าน ทั้งที่ครอบครัวและญาติไม่รู้เรื่องมาก่อนว่าหลานชายเสียชีวิตตอนไหน และได้รับคำตอบจากผู้ใหญ่บ้านในเวลาต่อมาว่ามีคนข้างบ้านผู้ใหญ่บ้านแจ้งมาว่านายสมเกียรติเสียชีวิตแล้ว จึงเดินทางไปอำเภอเพื่อแจ้งตายแล้วคัดชื่อออกจากทะเบียนบ้าน ยอมรับว่าไม่ได้ไปสอบถามญาติก่อนซึ่งทางญาติได้ไปร้องเรียนที่ท่าอำเภอคูเมือง จนกระทั่งผู้ใหญ่บ้านกลับไปแก้เอกสารทะเบียนราษฎรใหม่ให้นายสมเกียรติที่ถูกแจ้งตายและไปแล้วกลับมาเป็นสถานีมีชีวิตเหมือนเดิม
นายต่วนยังเล่าด้วยว่า การเสียชีวิตของคนในตำบลตูมใหญ่ที่เข้าเป็นสมาชิกชมรมฯ จะได้รับเงินเกือบ 80,000 บาทต่อศพ แต่ญาติยังไม่ได้รับเงิน ถึงตอนนี้ผ่านมาร่วม 5 เดือน เรื่องก็เงียบหายไป กระทั่งมาตรวจสอบก็ทราบภายหลังว่าคนที่มีชื่อรับผลประโยชน์เงินฌาปนกิจศพของนายสมเกียรติ คือ ภรรยาของผู้ใหญ่บ้าน จึงอยากให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้ความเป็นธรรมแก่ทางญาติด้วย และหากพบว่าผู้ใหญ่ทำโดยพลการ อยากให้ตรวจสอบเอาผิดด้วย
ทางด้านนายสมศักดิ์ พรภิญโญยิ่ง ผู้ใหญ่บ้านชี้แจงว่า จริงๆ ตัวผู้ร้องเรียนเองเคยพูดว่านายสมเกียรติน่าจะเสียชีวิตแล้วเพราะหายสาบสูญไปนานเกือบ 8 ปี ไม่เคยกลับมาบ้านเลย ก็บอกว่าให้ทำเรื่องแจ้งตาย ซึ่งญาติของนายสมเกียรติอีกคนซึ่งเป็นคนคอยดูแลทั้งพ่อและแม่นายสมเกียรติก็รับรู้และเห็นตรงกันว่าให้ทำเรื่องแจ้งตาย ก็ไม่เห็นมีใครทักท้วงหรือคัดค้านอะไร ด้วยความที่ตนเป็นผู้ใหญ่บ้านและเป็นนายทะเบียนด้วย เห็นว่าเป็นหน้าที่อยู่แล้วและอยากอำนวยความสะดวกให้ชาวบ้านไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายหรือยุ่งยากทำเรื่อง เพราะที่ผ่านมาเวลามีชาวบ้านในหมู่บ้านเสียชีวิตก็จะไปแจ้งให้แบบนี้ ไม่เคยมีปัญหาอะไร ยืนยันว่าไม่มีประโยชน์อะไรแอบแฝง ไม่คิดว่าทำไมเพราะความหวังดีแต่กลับต้องมาถูกร้องเรียนแบบนี้
ส่วนกรณีที่ชื่อนายสมเกียรติเข้าไปเป็นสมาชิกชมรมฌาปนกิจผู้สูงอายุตำบลตูมใหญ่นั้น เนื่องจากตอนที่นายสมเกียรติยังอยู่ที่บ้านเคยมาบอกกับภรรยาของตนว่าให้ช่วยส่งฌาปนกิจฯ ให้หน่อย เนื่องจากนายสมเกียรติไว้ใจภรรยาตน เพราะหากเวลาเสียชีวิตก็ให้ช่วยทำบุญให้ด้วย ไม่คิดว่าที่ทำไปเพราะความหวังดีจะกลายมาเป็นแบบนี้ ยืนยันว่าทำไปด้วยความบริสุทธิ์ ไม่เคยได้รับเงินฌาปนกิจศพเลย และพร้อมให้ตรวจสอบได้
ล่าสุด นายสุทัศน์ ภูมิพยัคฆ์ อายุ 86 ปี ประธานชมรมผู้สูงอายุตำบลตูมใหญ่ กล่าวว่า จำได้ว่าเมื่อปี 2555 นายสมศักดิ์ พรภิญโญยิ่ง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 ได้นำรายชื่อนายสมเกียรติ บริสุทธิ์ มาสมัครเข้าเป็นสมาชิกฌาปนกิจศพของชมรมผู้สูงอายุ จึงสอบถามหาหลักฐานตามระเบียบของชมรมซึ่งต้องมีหลักฐานเป็นทะเบียนบ้าน บัตรประจำตัวประชาชน และเห็นตัวบุคคล รวมถึงต้องมีใบรับรองแพทย์มายืนยัน แต่ผู้ใหญ่บ้านมีเพียงสำเนาบัตรประชาชนของผู้สมัครและทะเบียนบ้านเท่านั้น แต่เห็นว่าผู้ใหญ่บ้านเป็นหนึ่งในคณะกรรมการ และคิดว่าผู้ใหญ่กลั่นกรองมาแล้วจึงได้อนุโลมให้และเอาเข้าเป็นสมาชิกในตอนนั้น
หลังจากนั้น ผู้ใหญ่บ้านนำใบมรณบัตรมาแจ้งขอเบิกเงินฌาปนกิจศพ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2562 ระบุว่านายสมเกียรติเสียชีวิตแล้ว จึงดำเนินการตามระเบียบ โดยออกใบสั่งให้ไปเก็บเงินจากสมาชิกครอบครัวละ 50 บาท ที่มีกว่า 1,470 คน เป็นเงินประมาณ 73,000 บาท
ต่อมาวันที่ 14 ธ.ค. 2562 พ่อของผู้ใหญ่บ้านซึ่งมีหน้าที่เก็บเงินฌาปนกิจศพได้ตระเวนเก็บตามหน้าที่เพียงไม่กี่วันได้มีญาติของนายสมเกียรติมาคัดค้านการจ่ายเงิน โดยอ้างว่านายสมเกียรติยังมีชีวิตอยู่ ทำให้ตนสั่งยุติการเก็บเงิน พร้อมเอาเงินที่เก็บได้ฝากให้ผู้ใหญ่บ้านไปคืนชาวบ้าน พร้อมกับระงับการจ่ายเงินค่าศพจำนวน 73,000 บาท