ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ผู้ว่าฯ สั่งการทุกอำเภอต้องลงพื้นที่สำรวจจุด Hotspot ชี้เป้าด่วน หลังพบบุกรุกเพิ่มพื้นที่เตรียมการเกษตร พร้อมเรียกตัวผู้ต้องสงสัยมาสอบ กำชับแจ้งความดำเนินคดีให้แล้วเสร็จภายใน 3 วัน
นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และนายคมสัน สุวรรณอัมพา รองผู้ว่าราชการจังหวีดเชียงใหม่ ร่วมประชุมกับคณะทำงานศูนย์บัญชาการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อติดตามและเร่งแก้ไขไฟป่าอย่างใกล้ชิด
โดยเช้าวันที่ 13 เม.ย. ตรวจพบจุดความร้อนขึ้นในจังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 108 จุด ในพื้นที่ 12 อำเภอ 24 ตำบล โดยพบว่าเป็นพื้นที่เกษตรในเขตป่าอนุรักษ์ จำนวน 9 จุด และลุกลามจากจุดเดิมรอบบ่ายวานนี้ 18 จุด โดยเฉพาะที่อำเภอเชียงดาว จุดความร้อนมากเป็นอันดับ 2 ของจังหวัด จำนวน 19 จุด เป็นจุดเดิมที่ลุกลามจากเมื่อวานนี้ถึง 8 จุด
ฝ่ายปกครองอำเภอเชียงดาวได้ประสานขอเฮลิคอปเตอร์จากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขึ้นบินโปรยน้ำดับไฟต่อเนื่องกันเป็นวันที่ 4 ซึ่งในวันนี้ดำเนินการในพื้นที่ตำบลแม่นะ ที่มีอยู่ 2 และลุกลามเข้าใกล้บริเวณถ้ำหลวงเชียงดาว อันเป็นพื้นที่เขาสูงชันและมีเหวลึก และพื้นที่บางจุดเป็นพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ กับอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่ต้องใช้เวลาเดินเท้าเข้าไปดับประมาณ 3-4 ชั่วโมง
นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เน้นย้ำในเรื่องการบังคับใช้กฎหมายอย่างเฉียบขาด โดยให้ทุกอำเภอ เมื่อเกิดจุด Hotspot ในพื้นที่ ให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ นายอำเภอ และตำรวจ เข้าไปพิสูจน์ทราบในที่เกิดเหตุโดยด่วน ซึ่งทางศูนย์บัญชาการฯ จะได้คัดเลือกจุด Hotspot ที่มีความชัดเจนในจุดที่ต้องสงสัยส่งไปให้ยังอำเภอ และทางอำเภอต้องถือเอาจุดที่จังหวัดชี้เป้าเร่งเข้าไปแจ้งความด่วนที่สุดภายใน 24 ชั่วโมง
หลังจากนั้นให้เข้าไปพิสูจน์ทราบในพื้นที่แล้วให้ทางตำรวจเชิญตัวเจ้าของพื้นที่นั้น หรือพื้นที่ใกล้เคียงซึ่งถือว่าเป็นผู้ต้องสงสัยมาสอบปากคำทันที จากนั้นต้องแจ้งรายงานความคืบหน้าต่อศูนย์บัญชาการฯ จังหวัดให้ทราบ
โดยกระบวนการทั้งหมดต้องให้แล้วเสร็จภายใน 3 วันเท่านั้น ไม่ควรมีการชี้แจ้งว่าอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน เพราะได้มีการสั่งการจากทางศูนย์ฯ จังหวัดไว้ชัดเจนแล้ว ขณะเดียวกัน ในส่วนของ 5 อำเภอที่มีจุด Hotspot เกิดขึ้นสูงสุด ให้ทางอำเภอประเมินจุดที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในวันต่อไป มาอำเภอละ 10 จุด เพื่อเป็นการคาดการณ์และวางแผนการปฏิบัติงานล่วงหน้า เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการติดตามจุดที่เกิดซ้ำซากอีกด้วย สำหรับสถิติของการแจ้งความดำเนินคดีที่ผ่านมา ดำเนินการไปแล้วจำนวน 1,040 คดี โดยในช่วงสายวันนี้ทางตำรวจภูธรภาค 5 จะนำสำนวนคดีที่เกี่ยวกับไฟป่าทุกคดีมาหารือและวางแนวทางการปฏิบัติ เตรียมพร้อมนำกำลังปูพรมเอกซเรย์ในพื้นที่ที่เกิดการเผาซ้ำซาก เพื่อนำสู่การดำนินคดีอย่างเร่งด่วนต่อไป
ด้านนายคมสัน สุวรรณอัมพา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า จากการประเมินสถานการณ์พบว่า การเกิดจุดความร้อนเกิดจากการลุกลามจากจุดเดิมเป็นส่วนมาก ดังนั้น การปฏิบัติงานของภาคพื้นต้องมีสำรวจสังเกตการณ์ในพื้นที่ที่เกิดการไหม้ซ้ำซากอย่างต่อเนื่อง โดยให้ดับไฟตอที่เหลือให้สนิท ก่อนถอนกำลังออกมาเพื่อไม่ให้เกิดกลุ่มควันและป้องกันการเกิดไฟป่าในพื้นที่ปะทุขึ้นมาอีก
หากอำเภอใดไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ได้ให้ประสานมายังศูนย์ฯจังหวัด เพื่อทางจังหวัดจะได้พิจารณาการสนับสนุนในด้านต่างๆ และหากกรณีเป็นพื้นที่เขาสูงชัน ซึ่งในวันนี้เฮลิคอปเตอร์ KA-32 ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้ปฏิบัติภารกิจขึ้นบินโปรยน้ำดับไฟที่อำเภอแม่แตง และเฮลิคอปเตอร์ MI-17 ของกองทัพบก บินโปรยน้ำดับไฟที่อำเภอแม่แจ่ม ซึ่งทั้งสองอำเภอเป็นหน้าผาสูงและเหวลึก กำลังภาคพื้นไม่สามารถเข้าไปยังพื้นที่ได้ จึงเกิดการลุกลามมาจากเมื่อวาน เพื่อให้ไฟดับสนิทไม่เกิดการปะทุขึ้นมาอีก