ภูมิภาค - ลูกจ้างสาวชาวเอธิโอเปีย ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และแรงงานทาส ซึ่งถูกนายจ้างชาวเอธิโอเปีย และเป็นผู้บริหารสูงสุดขององค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย (WHO) ทำร้ายร่างกายและให้ทำงานเยี่ยงทาส ได้รับสถานะผู้ลี้ภัยและเดินทางไปประเทศที่สามแล้ว
น.ส.แอนเน็ท (นามสมมติ) ผู้เสียหายต้องทำงานให้นายโยนัส เทกเก้น โวลเดอแมเรียน และภริยา ซึ่งเป็นนายจ้างตั้งแต่เวลาตี 5 ถึงเที่ยงคืนหรือตี 1 ทุกวัน เป็นเวลาทำงานวันละ 19-20 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด โดยไม่ได้ค่าจ้างตามสัญญา อีกทั้งถูกทุบตีทำร้ายร่างกาย หากทำงานไม่เป็นที่พอใจ ถูกบังคับให้กินแต่ข้าวเปล่า ถูกข่มขู่และยึดหนังสือเดินทาง ทั้งหน่วงเหนี่ยวกักขังให้อยู่แต่ในบ้าน ผู้เสียหายทำงานได้ 1 ปี 8 เดือน ก็ทนไม่ได้ จนวันที่ 8 มีนาคม 2558 จึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านนายจ้างเพื่อฆ่าตัวตาย แต่มีพลเมืองดีพบเห็นจึงได้รับการช่วยเหลือ จนนำมาสู่การร้องเรียนมูลนิธิผู้หญิง และสภาทนายความ
นายสุรพงษ์ กองจันทึก อดีตประธานคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติและผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ เปิดเผยว่า เมื่อ 5 ปีที่แล้ว มูลนิธิผู้หญิงและสภาทนายความได้ช่วยให้ น.ส.แอนเน็ท ได้ออกมาร้องทุกข์กล่าวโทษนายโยนัส และภริยาต่อตำรวจ ในข้อหาค้ามนุษย์ เอาคนลงเป็นทาส หน่วงเหนี่ยวกักขัง ทำร้ายร่างกาย แต่ตำรวจและอัยการมีความเห็นว่าไม่สั่งฟ้อง อ้างว่า นายโยนัส มีความคุ้มกันทางการทูต จนต้องให้ทนายความฟ้องร้องเองในคดีแรงงาน และคดีอาญา ซึ่งในวันที่ศาลอาญานัดไต่สวน นายโยนัส เทกเก้น โวลเดอแมเรียน ก็ยอมชดใช้ไกล่เกลี่ย
น.ส.แอนเน็ท เป็นหนึ่งในชนกลุ่มน้อยในเอธิโอเปีย ที่มีการฆ่ากันระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ ที่ผ่านมา เคยถูกเจ้าหน้าที่ทหารกระทำอย่างรุนแรง ประกอบกับนายจ้างเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ทำให้ไม่สามารถกลับเอธิโอเปียได้อย่างปลอดภัย จนต้องขอสถานะผู้ลี้ภัยและในที่สุดได้เดินทางลี้ภัยไปประเทศที่สาม
ด้าน นายโยนัส เทกเก้น โวลเดอแมเรียน หลังเป็นข่าวถูกองค์การอนามัยโลกสั่งพักงาน และถูกสอบสวน ต่อมามีคำสั่งย้ายไปปฏิบัติงานที่อื่นโดยไม่ถูกลงโทษ
ด้าน น.ส.กรวิไล เทพพันธ์กุลงาม ทนายความในคดีนี้ กล่าวว่า กรณีนี้สะท้อนความไม่ยุติธรรมหลายอย่างในสังคม น.ส.แอนเน็ท มีฐานะยากลำบาก เป็นทั้งผู้ลี้ภัย เหยื่อค้ามนุษย์ และเป็นผู้หญิง ส่วนอีกฝ่ายเป็นผู้ชายมีฐานะ มีหน้าที่การงานดี เป็นเจ้าหน้าที่ WHO ระดับสูง ในคดีนี้นอกจาก น.ส.แอนเน็ท จะต้องต่อสู้กับการกดขี่ข่มเหงของนายจ้างแล้ว ยังต้องต่อสู้กับอคติของสังคมและกระบวนการยุติธรรม ทำให้การเข้าถึงความยุติธรรมเป็นไปด้วยความยากลำบาก บุคคลในกระบวนการยุติธรรมจึงจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาศักยภาพให้มีความเข้าใจและให้ความช่วยเหลือโดยคำนึงถึงความเปราะบางในสถานะต่างๆ ของเหยื่อ รวมถึงเพศสภาพ เพราะไม่เช่นนั้นระบบยุติธรรมของไทยก็จะล้มเหลว