ศูนย์ข่าวเชียงใหม่-พ่อเด็กหญิง ป.5ที่พยายามผูกคอตายในโรงเรียนแต่รอดกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา แจงกรณีเปิดรับบริจาค แต่กลับถูกกล่าวหาโจมตีว่าเอาชีวิตลูกมาหากิน ปัดไม่เป็นความจริง พร้อมประกาศปิดรับบริจาคแล้วเพื่อความสบายใจทุกฝ่าย เผยยอดเงิน 102,800 บาท ยังอยู่ครบในบัญชี จะเก็บไว้ใช้ดูแลรักษาลูกอย่างดีที่สุด
จากกรณีที่เมื่อช่วงปลายเดือน พ.ย.62 เด็กหญิงอายุ 11 ปี นักเรียนหญิงชั้น ป.5 โรงเรียนแห่งหนึ่งในอำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ พยายามผูกคอตาในโรงเรียน เนื่องจากได้รับความกดดันที่ถูกเพื่อนกลั่นแกล้งล้อเลียนและเหยียดหยามปมด้อยต่อเนื่องเป็นเวลานาน ซึ่งเพื่อนที่เห็นเหตุการณ์และภารโรงให้การช่วยเหลือนำตัวส่งโรงพยาบาลได้ทันก่อนที่จะเสียชีวิต แต่มีสภาพเป็นเจ้าหญิงนิทราและส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลนครพิงค์ โดยต่อมาทางมูลนิธิปวีณาเพื่อเด็กและสตรี ได้ยื่นมือให้ความช่วยเหลือในการประสานขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งต่อมาเพจเฟซบุ๊ก “สมาคมคนเหนือ”ได้ช่วยประสานงานให้พ่อของเด็กหญิงคนดังกล่าวในการเปิดรับบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือ
แต่ปรากฏว่ากลับมีผู้ใช้โซเชียลมีเดียบางรายเข้าไปแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์โจมตีพ่อและครอบครัวของเด็กหญิงว่าเอาลูกมาหากิน สร้างความไม่สบายใจให้กับทางครอบครัวอย่างมากและต้องตัดสินใจปิดรับบริจาคนั้น
นายสมศักดิ์ วงค์คำช่วย อายุ 38 ปี พ่อของเด็กหญิงอายุ 11 ปี นักเรียนชั้น ป.5 คนดังกล่าว เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ขอหยุดการรับบริจาคไปแล้ว เนื่องจากทั้งตัวเองและครอบครัวไม่สบายใจอย่างหนัก เพราะหลังจากที่มีการโพสต์ขอรับบริจาคไปแล้วปรากฏว่ามีผู้เข้าไปแสดงความเห็นตำหนิตัวเองเชิงลบอย่างรุนแรงว่าเอาลูกมาหากิน ซึ่งไม่เป็นความจริงตามที่มีการกล่าวหา ดังนั้นเพื่อความสบายใจของทุกฝ่ายจึงยุติการขอรับบริจาค โดยเวลานี้มียอดเงินที่ได้รับบริจาคเข้าบัญชีธนาคารทั้งสิ้นประมาณ 102,800 บาท ซึ่งยังอยู่ครบทุกบาททุกสตางค์ ยังไม่มีการนำไปใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น เพราะตั้งใจจะเก็บไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการดูแลและรักษาตัวของลูกสาวเมื่อต้องออกจากโรงพยาบาลกลับไปรักษาตัวที่บ้าน
สำหรับการขอรับบริจาคดังกล่าวนั้น เริ่มต้นมาจากการที่ทางเพจเฟซบุ๊ค สมาคมคนเหนือ หยิบยื่นความช่วยเหลือให้ด้วยการที่จะเป็นสื่อกลางในการระดมความช่วยเหลือให้กับลูกสาวของตัวเองที่ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้และตรวจสอบแล้วว่าทางบ้านมีฐานะยากจนจริง ซึ่งตัวเองไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งทางใด เนื่องจากครอบครัวมีฐานะยากจนและมีรายได้น้อยหาเช้ากินค่ำ เมื่อได้รับการหยิบยื่นความช่วยเหลือดังกล่าวจึงรับไว้ เพราะยอมรับว่าชีวิตมาถึงทางตันไม่รู้จะหาทางออกอย่างไรจริงๆ จึงมีความหวังจากน้ำใจและความเมตตาที่มีการหยิบยื่นให้ดังกล่าว
โดยนายสมศักดิ์ ย้ำว่า ในฐานะหัวอกคนเป็นพ่อนั้น เมื่อลูกสาวต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ไม่ว่าสาเหตุจะเป็นเพราะอะไรก็ตาม ตัวเองมีเป้าหมายแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นก็คือทำทุกอย่างเพื่อลูกเท่านั้น ไม่ได้คิดอย่างอื่นเลย โดยเฉพาะการที่จะเอาชีวิตลูกสาวมาแสวงหาประโยชน์เพื่อตัวเองนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ ซึ่งเชื่อว่าคนที่เป็นพ่อเป็นแม่คนทุกคนน่าจะเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี ขณะที่อาการของลูกสาวนั้น เวลานี้ยังทรงตัวและต้องรักษาตัวระยะยาว หากออกจากโรงพยาบาลนครพิงค์แล้ว คงต้องส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลพร้าว โดยยังไม่สามารถกลับไปรักษาตัวที่บ้านได้ เพราะสภาพบ้านไม่มีความพร้อมเลย เนื่องจากต้องมีห้องปลอดเชื้อ