ราชบุรี - เจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์วังครก เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่น้ำภาชี นำกำลังเข้าจับกุมพรานป่าพร้อมของกลางซากเสือไฟ ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองที่ใกล้สูญพันธุ์ ขณะกำลังนำซากลงมา จากบนเขา พร้อมกัญชา 500 กรัม
วันนี้ (17 ธ.ค. ) นายวายุกฤช ศรีสุนนท์ พนักงานพิทักษ์ป่า ระดับ ส. 3 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่น้ำภาชี นำกำลังเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมตัวนายสมชาย เพชรเม็ดเต็ง พรานป่า พร้อมของกลางอาวุธปืนลูกซองยาว 1 กระบอก กระสุนลูกซองเบอร์ 12จำนวน 5 นัด รถจักรยานยนต์สีดำ ยี่ห้อฮอนด้าดรีม ทะเบียน ขพท - 633 ราชบุรี ไฟฉายส่องติดบนศีรษะ 1 อัน กัญชาจำนวน 500กรัม และซากเสือไฟเพศเมียเป็นแม่ลูกอ่อนจำนวน 1 ตัว ความยาวประมาณ 100 เซนติเมตร ความสูง 40 เซนติเมตร ถูกลูกกระสุนปืนยิงเข้าที่ลำตัวชายโครงด้านซ้าย 4 เม็ด จากการตรวจสอบเบื้องต้นคาดว่าเป็นเสือแม่ลูกอ่อน ขณะกำลังนำซากเสือไฟลงมาจากบนยอดเขา ช่วงกลางดึกของคืนที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ได้แสดงตัวเข้าจับกุมพร้อมนำตัวมาสอบสวนที่สถานีตำรวจภูธรบ้านคา
ต่อมาทาง พ.ต.ต. จรินทร์ เที่ยงธรรม สารวัตรสอบสวน สภ.บ้านคา ได้ร่วมกับนายวายุกฤช ศรีสุนนท์ พนักงานพิทักษ์ป่า ระดับ ส. 3 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่น้ำภาชี และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านคา ได้นำผู้ต้องหา พร้อมของกลางซากสัตว์ป่า เดินทางขึ้นเขาไปยังที่เกิดเหตุเพื่อทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ซึ่งต้องเดินเท้า ขึ้นเขาไปบริเวณที่เกิดเหตุ สภาพการเดินที่ยากลำบาก และมีความลาดชันสูง ลัดเลี้ยวไปตามป่าไม้น้อยใหญ่ มีต้นไผ่รวกขึ้นปกคลุมอยู่ในช่วงฤดูผลัดใบ โดยใช้ระยะทางไปกลับประมาณเกือบ 7 กิโลเมตร ใช้เวลาการเดินเกือบ 3 ชั่วโมง
นายสมชาย เพชรเม็ดเต็ง พรานป่า กล่าวว่า ขึ้นมาล่าสัตว์มาไม่บ่อย แต่สมัย เด็ก ๆ มาหาของป่าบ่อยจึงรู้เส้นทาง มีสัตว์ป่าจำนานมากหลายชนิด ช่วงเวลาประมาณ 1 ทุ่มกว่า กำลังนั่งอยู่ที่ก่อไผ่ ส่องไฟเห็นสัตว์ป่าตัวลาย ๆ ตาสีเขียวเดินเข้ามาในระยะประมาณ 10 - 15 เมตร จึงยิงด้วยปืนลูกซองเพราะคิดว่าเป็นอีเห็น แต่พอไปดูพบว่าเป็นเสือไฟ จึงได้นำซากลงมา ส่วนปลอกกระสุนปืนที่ยิงนั้นได้ทิ้งไประหว่างเดินทางกลับ เนื่องจากเป็นเวลากลางคืน จึงไม่รู้ว่าทิ้งไว้บริเวณไหน เจ้าหน้าที่จึงเดินหาไม่พบปลอดกระสุนปืน
นายวายุกฤช ศรีสุนนท์ พนักงานพิทักษ์ป่า ระดับ ส. 3 เปิดเผยว่า นายชุมพล แก้วเกตุ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่น้ำภาชี ได้ให้เจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์ป่าวังครก ออกเดินลาดตระเวนในพื้นที่รับผิดชอบอย่างเข้มงวด เนื่องจากเป็นช่วงหน้าแล้ง ใกล้ช่วงเทศกาลปีใหม่ จะเป็นช่วงที่มีสัตว์ลงมาหาแหล่งน้ำกิน พร้อมจัดกำลังส่วนหนึ่งออกหาข่าวทราบว่าจะมีการออกล่าสัตว์ป่าในพื้นที่ อาจจะมีการสั่งล่าสัตว์ป่าเพื่อนำมาฉลองในเทศกาลส่งท้ายปี จึงได้จัดแบ่งกำลังออกเป็น 2 ชุด เดินลาดตระเวนพื้นที่
ช่วงขณะที่กำลังลาดตระเวนช่วงบริเวณปากทาง ได้เจอรถจักรยานยนต์จอดซุ่มอยู่ประมาณ 3 ทุ่มคืนที่ผ่านมา จึงได้วางกำลังดักซุ่มตามเส้นทางเดิน พอเจอผู้ต้องหาออกมาเตรียมสตาร์ทรถจึงเข้าแสดงตัวจับกุมทันที พร้อมกับเจอซากเสือไฟ 1 ตัว อาวุธปืนลูกซองถอดประกอบลำกล้องออกเป็น 2 ส่วน พร้อมกระสุน 5 นัด ตรวจสอบอายุเสือไฟคาดว่าน่าจะเป็นแม่ลูกอ่อน เนื่องจากมีร่องรอยการดูดนมที่เต้านมเสือไฟ ถือเป็นสัตว์คุ้มครองที่อยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์ในพื้นที่
โดยผู้ต้องหารับสารภาพว่าจะล่าสัตว์ป่าดังกล่าวนำไปกินเป็นอาหาร ขณะที่ผู้ต้องหารายนี้มีรายชื่ออยู่ในบัญชีกลุ่มเป้าหมายอยู่แล้ว และได้รับรายงานจากสายข่าวมาตลอด แต่ก็ยังไม่เคยจับกุมตัวได้เลยสักครั้งเดียว จึงได้นำตัวส่งดำเนินคดีตาม พ.ร.บ. พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 ฐาน มาตรา 12 มาตรา 22 วรรค 1 หรือมาตรา 29 ถ้าการกระทำต่อสัตว์ป่าสงวน ซากสัตว์ป่าคุ้มครอง หรือผลิตภัณฑ์จากซากสัตว์ป่าสงวน สัตว์ป่าคุ้มครองต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 - 15 ปี หรือ ปรับตั้งแต่ 300,000- 1,500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 92 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 17 ครอบครองสัตว์ป่าคุ้มครองซากสัตว์ป่าดังกล่าว มาตรา 54 ห้ามล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า วรรคหนึ่ง หรือมาตรา 55 ( 3) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป