เครือซีพีเดินหน้า “สบขุ่นโมเดล” เต็มสูบ เปิดโรงแปรรูปวิสาหกิจชุมชน สร้างป่าสร้างรายได้ บ้านสบขุ่น พลิกฟื้นป่า แก้ปัญหาภูเขาหัวโล้น หมอกควัน ไฟป่า ส่งเสริมปลูกกาแฟทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ต่อยอดเพิ่มภูมิปัญญาท้องถิ่นด้วยแนวคิด Social Enterprise สร้างโรงแปรรูปกาแฟ ตั้งเป้าผลิตจำหน่ายกาแฟไปทั่วโลก หวังชุมชนอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างยั่งยืน
เมื่อเร็วๆ นี้ นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นประธานในพิธีเปิดโรงแปรรูปวิสาหกิจชุมชน สร้างป่าสร้างรายได้ บ้านสบขุ่น อ.ท่าวังผา จ.น่าน โดยมี นายนพปฎล เดชอุดม ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กร นายจิระศักดิ์ เสงี่ยมกิตติกุล ประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร นายจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐ ดร.ปพนธ์ รัตนชัยกานนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจอาหารและคอฟฟี่เฮาส์ ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ผู้ช่วยบริหาร สำนักประธานคณะผู้บริหาร พร้อมด้วยผู้บริหาร พนักงาน บริษัทในเครือฯ ชาวบ้านชุมชนสบขุ่น ร่วมเป็นสักขีพยานในก้าวเดินต่อไปที่มั่นคงยั่งยืนของพี่น้องสบขุ่น จ.น่าน
เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้ดำเนินโครงการพลิกฟื้นผืนป่าสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน เพื่อลดพื้นที่การปลูกข้าวโพดบนพื้นที่สูงชัน และรักษาสมดุลระบบนิเวศทรัพยากรป่าไม้อย่างยั่งยืน อีกทั้งยังเป็นการสร้างความยั่งยืนด้านอาชีพให้แก่เกษตรกรในพื้นที่บ้านสบขุ่น ให้มีเงินหมุนเวียนโดยส่งเสริมการปลูกกาแฟอะราบิกาเป็นพืชทางเลือก ทดแทนการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์แก้ปัญหาภูเขาหัวโล้น บนพื้นที่นำร่องกว่า 330 ไร่ หรือที่เรียกว่า “สบขุ่นโมเดล” โดยเริ่มบุกเบิกตั้งแต่ปี 2559 เพื่อเป็นต้นแบบในการฟื้นคืนผืนป่าน่านให้กลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 3 ปีครึ่ง ผลผลิตกาแฟบนดอยภายใต้สบขุ่นโมเดลเริ่มเก็บเกี่ยวป้อนเข้าสู่โรงแปรรูปวิสาหกิจชุมชน สร้างป่า สร้างรายได้ บ้านสบขุ่น ได้เป็นครั้งแรก
ทั้งนี้ เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้นำร่องสนับสนุนชุมชนสบขุ่น โดยสร้างโรงแปรรูปวิสาหกิจชุมชน สร้างป่าสร้างรายได้ บ้านสบขุ่น เพื่อรับซื้อผลผลิตกาแฟเชอร์รีจากเกษตรกรของโครงการ และนำมาแปรรูปด้วยวิธีการสีกาแฟเชอร์รีโดยไม่ใช้น้ำ (Honey Process) ซึ่งดำเนินงานในรูปแบบของ Social Enterprise เป็นต้นแบบในการเรียนรู้และพัฒนาแก่เกษตรกรในพื้นที่ในการฟื้นฟูป่าต้นน้ำลำธาร อีกทั้งยังเป็นการสร้างจิตสำนึกในการดูแลรักษาป่า ควบคู่ไปกับการมีรายได้ในการดำรงชีวิต
นอกจากสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนในพื้นที่แล้ว ยังเป็นการสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง สามารถให้ชุมชนอยู่ร่วมกับป่าได้ด้วยวิถีธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยปัจจุบันโรงแปรรูปฯ มีเกษตรกรในหมู่บ้านเป็นสมาชิกจำนวน 76 ราย มีพื้นที่ปลูกกาแฟครอบครองรวม 539 ไร่ ซึ่งเมื่อรับซื้อผลผลิตแล้วจะหักรายได้จำนวนหนึ่งมาเป็นค่าบริหารจัดการกลุ่ม และนำมาสะสมเป็นเงินออมให้แก่สมาชิก
นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้กล่าวกับชาวชุมชนสบขุ่นว่า วันนี้รู้สึกมีความสุขมากเมื่อได้เห็นชาวบ้านในโครงการสบขุ่นโมเดลมีความสุข ขอให้ทุกคนรวมพลังกันเพื่อเปลี่ยนภูเขาให้เขียวชอุ่ม กาแฟเป็นพืชเศรษฐกิจที่จะสร้างรายได้ที่ยั่งยืนแก่พี่น้องสบขุ่น เนื่องจากตลาดโลกมีความต้องการรองรับจำนวนมาก ขอให้ทุกคนมั่นใจและร่วมกันสร้างความยั่งยืนให้กับสบขุ่น โดยเครือเจริญโภคภัณฑ์พร้อมที่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่
ในการนี้ นายศุภชัยได้เยี่ยมชมแปลงกาแฟของเกษตรกร พร้อมพูดคุยสอบถามถึงวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปจากการเปลี่ยนมาปลูกกาแฟทดแทนข้าวโพด และยังได้ทำการเปิดโรงแปรรูปกาแฟที่เพิ่งสร้างเสร็จและบริหารจัดการในรูปของวิสาหกิจชุมชน ซึ่งเพิ่งเริ่มกระบวนการเปิดรับซื้อกาแฟรุ่นแรกจากชาวชุมชน พร้อมชมการสาธิตการแปรรูปกาแฟ และได้พูดคุยกับชาวชุมชนที่เป็นสมาชิกวิสาหกิจชุมชนอย่างเป็นกันเอง
โดยสมาชิกคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ได้ขายกาแฟให้กับโรงแปรรูปนี้มาแล้ว 3 วัน วันแรกได้เงิน 500 บาท วันที่สองขายได้ 800 บาท วันที่สามขายได้กว่า 1,000 บาท รู้สึกดีใจมากที่มีรายได้ที่ดีเช่นนี้