ศูนย์ข่าวศรีราชา - ศาลจังหวัดพัทยา อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ยืนจำคุก 4 ปี “สำเริง-วรชัย” แกนนำ นปช.ล้มประชุมอาเซียน แม้ยื่นคำร้องขอถอนคำให้การจากปฏิเสธเป็นรับสารภาพ ด้าน พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ อ้างติดประชุมสภา เจอหมายจับ ต้องมารับฟังคำพิพากษาอีกครั้ง 15 ม.ค.ปีหน้า
จากกรณีที่ศาลจังหวัดพัทยา จ.ชลบุรี ได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ได้นำกลุ่มคนเสื้อแดงบุกล้มการประชุมอาเซียน ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมรอยัลคลิฟ เมืองพัทยา เมื่อวันที่ 11 เม.ย.2552 ซึ่งพนักงานอัยการจังหวัดพัทยา เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง นายนพพร นามเชียงใต้ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ นายสมญศฆ์ พรมภา
นายนิสิต สินธุไพร นายสำเริง ประจำเรือ นายศักดา นพสิทธิ์ นายสิงห์ทอง บัวชุม นายธนกฤต หรือวันชนะ ชะเอมน้อย หรือเกิดดี นายวรชัย เหมะ นายพายัพ ปั้นเกตุ นายวัลลภ ยังตรง และนายพิเชฐ สุขจินดาทอง
ทั้งนี้ ได้พักคดี พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ และนายสุรชัย แซ่ด่าน เนื่องจากหลบหนี ขณะที่นายธรชัย ศักดิ์มังกร และ พ.ต.อ.สมพล รัฐกาญจน์ ศาลชั้นต้นยกฟ้อง
โดยแจ้งข้อหาประกอบด้วย 1.ร่วมกันขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน ซึ่งสั่งให้เลิกการมั่วสุม 2.ข้อหาร่วมกันเดินแถวเป็นขบวนและกระทำด้วยประการใดๆ ในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจร 3.ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจาหรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ และมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่ก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักรและเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน
4.มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองโดยเป็นหัวหน้า เป็นผู้มีหน้าที่สั่งการในการกระทำผิด และ 5.ร่วมกันบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ โดยขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116, 215, 216, 358, 362, 364, 365 และ พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตรา 108, 114, 148
ต่อมา ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนให้จำคุกจำเลยทั้ง 12 คน เป็นเวลา 4 ปีโดยไม่รอลงอาญา และยกฟ้อง 1 คน กระทั่งเมื่อวันที่ 11 ก.ย.2562 ที่ผ่านมา ศาลฎีกา ได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีดังกล่าว แต่ปรากฏว่าจำเลยมาเพียงคนเดียวจึงได้อ่านคำพิพากษาของ นายศักดา นพสิทธิ์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อชาติ ซึ่งเป็นจำเลยที่ 10
และวันที่ 31 ต.ค.2562 จำเลยอีก 3 คน ประกอบด้วย พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ นายสำเริง ประจำเรือ และนายวรชัย เหมมะ ได้เดินทางมารับฟังคำพิพากษาของศาล แต่ทนายความได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอถอนคำให้การเดิมจากปฏิเสธเป็นขอรับสารภาพ และยื่นคำร้องประกอบขอให้ศาลลงโทษสถานเบา รวมทั้งการที่ไม่ได้รับหมายศาลในครั้งแรกด้วย กระทั่งศาลได้กำหนดให้มารับฟังคำพิพากษาใหม่ในวันที่ 3 ธ.ค.2562 นั้น
เมื่อเวลา 10.30 น.วันนี้ (3 ธ.ค.) นายวรชัย เหมมะ พร้อมด้วย นายสำเริง ประจำเรือ พร้อมทนายความได้เดินทางมายังศาลจังหวัดพัทยา จ.ชลบุรี เพื่อรับฟังคำพิพากษา ขณะที่ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ได้มอบหมายให้เสมียนทนายมาขอเลื่อนการรับฟังคำพิพากษา เนื่องจากติดการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในช่วงที่อยู่ในสมัยการประชุม โดยมีนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. พร้อมกลุ่มผู้สนับสนุนและญาติของจำเลยรวมกว่า 10 คน เดินทางมาให้กำลังใจ
แต่ด้วยจากกรณีที่มีการขอเลื่อนการรับฟังคำพิพากษาของ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ จึงได้เลื่อนเวลาจากเดิมเป็นเวลา 15.45 น. ซึ่ง นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. พร้อมกลุ่มผู้สนับสนุน ทนายความ และกลุ่มญาติของจำเลยได้เดินออกจากศาล โดยไร้เงาของ นายวรชัย เหมมะ และนายสำเริง ประจำเรือ
ทั้งนี้ หลังศาลได้อ่านคำพิพากษาแล้วเสร็จ นายณัฐพล ปัญญาสูง ทนายความของจำเลย ได้ออกมาเปิดเผยว่าในวันนี้จำเลยมาฟังคำพิพากษาตามคำสั่งศาลเพียง 2 ราย ส่วนกรณีที่จำเลยทั้ง 3 ได้เคยยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา เพื่อขอถอนคำให้การปฏิเสธเป็นรับสารภาพไปนั้น
ปรากฏว่าศาลได้ยกคำร้องด้วยเหตุว่าในการยื่นแก้ไขคำให้การเดิมจะต้องดำเนินการยื่นก่อนที่ศาลชั้นต้นจะตัดสิน จึงไม่มีเหตุให้รับคำร้องหรือยกคำร้องแถลงคำให้การจากปฏิเสธเป็นรับสารภาพด้วย
ส่วนการยื่นคำร้องในวันนี้ที่ยื่นต่อศาล เพื่อขอเลื่อนฟังคำพิพากษาโดยอ้างเหตุว่าจำเลยมารับฟังคำพิพากษาไม่ครบทั้ง 3 ราย เพราะอีก 1 รายติดภารกิจสมัยการประชุมสภาผู้แทนราษฎรนั้น ตามหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ศาลชี้ว่าไม่มีเหตุและถึงแม้จะเป็นสมัยการประชุมสภาแต่ไม่ใช่ข้ออ้างในการพิจารณาคดี แต่ถือเป็นการฟังคำสั่งศาลจึงได้ยกคำร้อง
ก่อนจะอ่านคำพิพากษาให้จำเลยทั้ง 2 รับฟัง โดยพิพากษารับโทษจำคุกรายละ 4 ปี ขณะที่ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ จำเลยอีกรายที่ไม่ได้มานั้นศาลจะได้ออกหมายจับให้มารับฟังคำพิพากษาอีกครั้งในวันที่ 15 ม.ค.2563 อีกครั้ง
นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. เผยว่าในวันนี้ถือเป็นข้อยุติ แม้จะขาดจำเลยไปอีก 1 คนที่ไม่ได้มาฟังคำพิพากษา โดยผลคงไม่มีอะไรเป็นอย่างอื่นแล้ว และคาดว่าจากนี้จำเลยที่เหลือก็คงจะทยอยเดินทางเข้ามอบตัวเพื่อเข้าต่อสู่ขั้นตอนตามกระบวนการของกฎหมายจนครบ
“และจนถึงขณะนี้คงต้องบอกว่าพวกเราคงน้อมรับชะตากรรมและคำพิพากษาของศาลที่ตัดสินไปแล้ว ขณะที่หลายคนที่ได้รับโทษไปก่อนหน้าประมาณ 4-5 เดือน ก็คงจะทำให้เหลือโทษอีกเพียง 3 ปีเศษๆ เท่านั้น” นายจตุพร กล่าว