เมืองไทย 360 องศา
ในที่สุดเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมาถือว่าเป็นวันเก็บฉากสุดท้ายของบรรดาแกนนำ นปช.ไปอีกชุดใหญ่ หลังจากที่ศาลจังหวัดพัทยา จ.ชลบุรี ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่พวกเขาได้นำมวลชนบุกลล้มการประชุมอาเซียนที่โรงแรมรอยัลคลิฟ เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2552 ที่ผ่านมา โดยศาลสั่งจำคุกจำเลยที่เหลืออีก 2 คนคือ นายวรชัย เหมะ นายสำเริง ประจำเรือ คนละ 4 ปี ขณะที่ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ส.ส.กำแพงเพชร อ้างว่าติดภารกิจสมัยการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ตามหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่ศาลได้ยกคำร้อง และออกหมายจับให้มารับฟังคำพิพากษาอีกครั้งในวันที่ 15 มกราคมอีกครั้ง
ก็ต้องถือว่าสำหรับคดีนี้ยังเหลือจำเลยที่ยังไม่ได้ไปฟังคำพิพากษาอีกแค่หนึ่งคน คือ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ที่ต้องมาฟังในวันที่15 มกราคมปีหน้า โดยก่อนหน้านี้มีแกนนำ นปช.รวมทั้งสิ้นจำนวน 13 คน แต่ยกฟ้อง 1 คน โดยที่ผ่านมาพวกเขาได้ถูกศาลฎีกาได้ตัดสินจำคุกคนละ 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา
อย่างไรก็ดีจำเลยจำนวน 3 รายคือ พ.ต.ท.ไวพจน์ นายสำเริง และ นายวรชัย ได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อถอนคำให้การเดิมจากปฏิเสธเป็นการรับสารภาพและยื่นคำร้องประกอบขอให้ศาลลงโทษสถานเบา ซึ่งศาลนัดให้มาฟังคำพิพากษาใหม่ในวันที่ 3 ดังกล่าว แต่ศาลได้ยกคำร้อง และได้สั่งจำคุกและออกหมายจับจำเลยอีกคนให้มาฟังคำพิพากษาในวันที่ 15 มกราคมปีหน้าดังกล่าว
สำหรับ 13 จำเลยในคดีนี้ประกอบด้วย นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง นายนิสิต สินธุไพร นายพายัพ ปั้นเกตุ นายวรชัย เหมะ นายวันชนะ เกิดดี นายพิเชษฐ สุขจินดาทอง นายศักดา นพสิทธิ์ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ นายนพพร นามเชียงใต้ นายสำเริง ประจำเรือ นายสมยศ พรหมมา นพ.วัลลภ ยังตรง และ นายสิงทอง บัวชุม โดยศาลชั้นต้น พิพากษาจำคุดคนละ 4 ปีโดยไม่รอลงอาญา และต่อมาศาลอุทธรณ์ ฎีกาก็พิพากษายืน
นอกเหนือจากนี้ศาลยังได้พักคดีของ พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ และ นายสุรชัย แซ่ด่าน เนื่องจากหลบหนีไปก่อนหน้านี้
ขณะเดียวกันยังมีจำเลยอีกจำนวนหนึ่ง เช่น นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง นพ.วัลลภ ยังตรง และ นายวันชนะ เกิดดี ที่หลบหนี
หลังมีคำพิพากษาออกมาล่าสุด นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.ซึ่งมาให้กำลังใจเพื่อนๆในครั้งนี้กล่าวว่า ถือว่าคดีนี้เป็นที่ยุติแล้ว แม้ว่าจะเหลืออีกหนึ่งคนที่ยังไม่ได้มาฟังคำพิพากษา แต่ผลก็ไม่มีทางเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแล้ว
“หลังจากนี้คงจะมีพี่น้องที่เหลือที่ยังไม่เข้ารับโทษทยอยมากันจนครบ ผลในวันนี้เป็นสิ่งที่อธิบายครบถ้วนแล้วว่าเหมือนคำพิพากษาที่ได้อ่านไปครั้งแรกทุกประการ พวกเราน้อมรับชะตากรรม น้อมรับคำพิพากษาของศาล และที่ผ่านมาระหว่างรอคดีเข้าศาลฎีกาก็ได้ติดคุกมาบ้างแล้ว ประมาณคนละ 5 เดือนเศษ จะเหลืออีกประมาณ 3 ปีเศษ”
นอกจากนี้ ยังมีคดีบุกบ้าน “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เมื่อปี 2550 ที่มีแกนนำ นปช.คนสำคัญหลายคนตกเป็นจำเลย และที่ผ่านมาศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ได้สั่งจำคุกจำเลยแตกต่างกันไป แต่สำหรับแกนนำ เช่น นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท และ นพ.เหวง โตจิราการ เป็นต้น ถูกจำคุกคนละ 4 ปี 4 เดือน โดยล่าสุดจำเลยบางคนที่เป็นแกนนำสำคัญต่างขอเปลี่ยนคำให้การใหม่เป็นรับสารภาพ ทำให้ศาลต้องส่งคำร้องให้ศาลฎีกาพิจารณาให้มีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งอีกครั้งต่อไป
หากพิจารณาจากความเป็นจริงแล้วสำหรับแกนนำคนสำคัญของ นปช.เกือบทั้งหมดนาทีนี้ถือว่าจบสิ้นแล้ว หมดอนาคตทางการเมืองอย่างสิ้นเชิงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจำเลยคดีบุกล้มประชุมอาเซียนที่พัทยา ที่ศาลฎีกาเพิ่งตัดสินจำคุกไปคนละ 4 ปี คนพวกนี้หลายคนที่เคยเป็น ส.ส.และเป็น ส.ส.ในปัจจุบันก็จะกลายเป็นคนที่มีคุณสมบัติต้องห้าม ไม่สามารถสมัครรับเลือกตั้ง และดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้อีกต่อไป เนื่องจากเคยต้องคำพิพากษาจำคุกมาก่อน
หรือ ก่อนหน้านี้ เช่น นายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่เคยถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี และเคยมีโทษจำคุก และยังมีคดีทางแพ่งที่ถูกฟ้องจนต้องชดใช้ค่าเสียหายจากกรณีการชุมนุมจำนวนรวมกันอีกหลายสิบล้านบาท ก็ต้องถือว่า “อ่วม” จนเขายอรับว่าอาจต้องยอมให้ถูกฟ้องล้มละลาย เพราะไม่มีปัญญาชดใช้
ดังนั้นหากให้สรุปก็ต้องยอมรับความจริงว่าบรรดาแกนนำ นปช.ทั้งหมดในเวลานี้ถือว่าต้องยุติบทบาททางการเมือง ทุกอย่างต้องเก็บฉากยุติลง เพราะเมื่อสิ้นเสียงคำพิพากษาให้จำคุกทุกอย่างก็ต้องเป็นไปตามกรรม ที่เลี่ยงไม่ได้อีกแล้ว !!