ศูนย์ข่าวศรีราชา - เมืองพัทยา เดินหน้ารวบรวมหลักฐานเอาผิดเพิ่ม “บ้านสุขาวดี” หลังพบยังฝืนใช้อาคารก่อสร้างบุกรุกที่สาธารณะ ซึ่งเมืองพัทยา ปิดหมายห้ามใช้และให้รื้อถอน ก่อนมอบกลุ่มกฎหมายแจ้งความดำเนินคดี
จากกรณีที่เมืองพัทยา นำโดย นายสุธรรม เพ็ชรเกตุ รองปลัดเมืองพัทยา รักษาราชการแทนปลัดเมืองพัทยา นำกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอบางละมุง เจ้าหน้าที่จากสำนักการช่างเมืองพัทยา เจ้าหน้าที่เทศกิจ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางละมุง ลงพื้นที่บริเวณริมทะเลด้านหลัง “บ้านสุขาวดี” ก่อนทำการติดตั้งป้ายประกาศเมืองพัทยา ระบุข้อความ "บริเวณนี้เป็นที่สาธารณประโยชน์ ผู้ใดบุกรุกหรือครอบครองเป็นการกระทำความผิดฐานเข้ายึดถือครอบครองที่ดินของรัฐ ตามมาตรา 9 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 ต้องระวางโทษตามที่ประมวลกฎหมายที่ดินที่กำหนดไว้ และขอให้ดำเนินการรื้อถอนอาคารที่ปลูกสร้างบนที่สาธารณะตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป"
พร้อมปิดหมายคำสั่ง พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร อีกจำนวน 2 อาคาร ประกอบด้วย 1.อาคารเวทีการแสดงที่มีการก่อสร้างในพื้นที่สาธารณะ หมายแบบ ค.3 เพื่อระงับการก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเคลื่อนย้ายอาคาร ตามาตรา 10 วรรค 1 และ มาตรา 41 วรรค 1 แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 หมายแบบ ค.4 ที่ห้ามมิให้บุคคลใดใช้อาคารหลังดังกล่าว และหมายแบบ ค.7 หรือหมายคำสั่งรื้อถอนอาคารตามมาตรา 42 แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 กรณีก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเคลื่อนย้ายอาคาร กระทำการโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องได้
โดยทางเมืองพัทยาได้แจ้งความมายัง บ.เฮลท์ฟู้ด อินเตอร์เนชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด โดยให้รื้อถอนอาคารโครงเหล็ก 1 ชั้น ขนาด 18.30 คูณ 55.30 เมตร จำนวน 1 หลังที่ใช้เป็นเวทีห้องครัวขนาดใหญ่ และป้ายขนาด 7คูณ 9 เมตร จำนวน 2 ป้าย โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 35 วัน นับแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2562 นี้
นอกจากนี้ ยังได้ทำการปิดหมายอาคารโรงอาหารบริเวณที่ติดกับทางเดินสาธารณะติดทะเล ที่มีการก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตและก่อสร้างอยู่ในแนวร่น 20 เมตรจากระดับน้ำทะเลสูงสุด และทำการปิดหมายทั้งหมด 3 หมาย คือ ค.3 เพื่อระงับการก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเคลื่อนย้ายอาคาร ตามมาตรา 10 วรรค 1 และ มาตรา 41 วรรค 1 แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 พร้อมติดหมาย ค.4 ที่ห้ามมิให้บุคคลใดใช้อาคารหลังดังกล่าว และ ค.10 ให้ดำเนินการแก้ไขและให้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตก่อสร้างดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคารตามมาตรา 43 วรรคหนึ่ง
รวมทั้งให้ทำการรื้อถอนอาคาร B ขนาดประมาณ 10.40 คูณ 10.40.00 เมตร และรื้อถอนอาคาร C ขนาด 5 คูณ 15 เมตร จำนวน 2 อาคาร ภายใน 45 วัน นับแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2562 ซึ่งปัจจุบันเมืองพัทยาได้มอบหมายให้นิติกรทำการรวบรวมหลักฐานทั้งหมดเพื่อดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีตามลำดับนั้น
ล่าสุด วันนี้ (15 พ.ย.) นายสุธรรม เพ็ชรเกตุ รองปลัดเมืองพัทยา รักษาราชการแทนปลัดเมืองพัทยา ได้ออกมาเปิดเผยว่า ขณะนี้เมืองพัทยา ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่มีส่วนรับผิดชอบในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่นซึ่งดูแลพื้นที่สาธารณะครบถ้วนแล้ว และเมื่อครบกำหนดตามระยะเวลาที่ประกาศระบุไว้ และหากยังไม่มีการยื่นอุทธรณ์หรือกรณีใดๆ รวมทั้งการรื้อถอนและแก้ไข เมืองพัทยาก็จะเข้าไปดำเนินการตามขั้นตอนทันที
"อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันแม้ว่าเมืองพัทยา จะปิดประกาศตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคารไปแล้ว แต่จากการตรวจสอบยังพบว่าทาง “บ้านสุขาวดี” ยังใช้พื้นที่ของอาคารที่มีการปิดหมายประกาศห้ามใช้อยู่ จึงได้บันทึกภาพไว้เป็นหลักฐานแล้ว ซึ่งกรณีนี้ถือว่าขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน จึงได้มอบหมายให้ทางนายช่างตรวจเขต สำนักการช่าง และกลุ่มกฎหมาย รวบรวมข้อมูลว่ามีการดำเนินการในช่วงวันและเวลาใดบ้าง เพราะถือเป็นการกระทำที่ต่างกรรม ต่างวาระ เพื่อนำไปแจ้งความดำเนินคดีต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ซึ่งจะมีโทษทั้งปรับและจำด้วย"
นายสุธรรม ยังกล่าวอีกว่า นอกจากกรณีของบ้านสุขาวดีแล้ว ยังพบว่าคลองพัทยาใต้ มีปัญหาบุกรุกเป็นจำนวนมากเช่นกัน และส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มนายทุนและผู้ประกอบการรายใหญ่ โดยในส่วนของอาคารพาณิชย์มีการรุกล้ำแนวเขตคลองถึง 21 ราย แต่ปัจจุบันมีการอุทธรณ์คำสั่งจำนวน 8 ราย และในกรณีของผู้ที่ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ก็จะมีการปิดหมายแบบ ค.7 เพื่อให้ทำการรื้อถอน แต่หากครบกำหนดยังไม่ดำเนินการ เมืองพัทยาก็จะเข้าไปทำการรื้อถอนเองและเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากเจ้าของอาคารอีกครั้ง
"รวมไปถึงสะพานเหล็กมีการก่อสร้างคร่อมคลองไว้ และอาคารอีก 2 แห่งริมคลองด้วย โดยกรณีทั้งหมดถือเป็นเรื่องจริงจังที่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยไว เนื่องจากเป็นปัญหาเรื้อรังและยืดเยื้อมาเป็นเวลานานแล้ว" นายสุธรรม กล่าว