ศูนย์ข่าวศรีราชา - มีหนาว ! เมืองพัทยา ชง DSI รับคดีบุกรุกที่สาธารณะริมทะเล“บ้านสุขาวดี” จำนวน 11 ไร่ ให้เป็นคดีพิเศษเช่นการก่อสร้างรีสอร์ทใน จ.ภูเก็ต ก่อนทำแนวรั้วปิดกันพร้อมดันออก น.ส.ร. หวังจัดทำแผนพัฒนาพื้นที่สาธารณะประโยชน์เต็มรูปแบบ
วันนี้ (31 ต.ค.) นายสุธรรม เพ็ชรเกตุ รองปลัดเมืองพัทยา รักษาราชการแทนปลัดเมืองพัทยา ได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่สำนักการช่างและกลุ่มงานกฎหมาย ที่ศาลาว่าการเมืองพัทยา จ.ชลบุรี เพื่อหารือและติดตามผลการตรวจสอบ การจัดการปัญหาการบุกรุกที่ดินสาธารณะจำนวน 11 ไร่ บริเวณพื้นที่ริมทะเล “บ้านสุขาวดี” หลังเป็นปัญหาเรื้อรังมานานและยังไม่มีการดำเนินการที่ชัดเจนอย่างเป็นรูปธรรม
นอกจากนั้นยังได้มีการเชิญตัวแทนจาก กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI เข้าร่วมรับฟังข้อมูล
นายสุธรรม เผยว่ากรณีดังกล่าวเป็นปัญหามานานหลายปีจนมีการบุกรุกจัดสร้างอาคารขนาดใหญ่และใช้พื้นที่สาธารณะประโยชน์อย่างไม่ถูกต้อง กระทั่ง คสช.ได้นำกำลังจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบ และรังวัดแนวเขตจนพบว่ามีการบุกรุกที่สาธารณะกว่า 11 ไร่ รวมไปถึงพื้นที่ คลองนกยางตลอดแนว รวมทั้งพื้นที่ใกล้เคียงที่มีผู้บุกรุกสร้างที่พักอาศัยรุกล้ำลำคลองมากถึง 115 ราย
“ เดิมที่ดินแห่งนี้จากการตรวจสอบภาพถ่ายทางอากาศในปี 2496 พบว่าเป็นพื้นที่ทะเลและปากคลองธรรมชาติ ซึ่งต่อมามีการถมดินและมีการบุกรุก จน ชาวบ้านร้องเรียน จึงเป็นที่มาของการตรวจสอบและดำเนินการอย่างจริงจังในปัจจุบัน”
โดยที่ดินจำนวน 11 ไร่ที่มีการบุกรุกของ “บ้านสุขาวดี” ได้มีการออกคำสั่งตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคารไปแล้วตามขั้นตอน รวมถึงการปิดประกาศให้มีการรื้อถอนจนครบกำหนด แต่ก็ยังพบว่าอาจมีความคลาดเคลื่อนในเรื่องของแนวเขตและการระบุรายชื่อของผู้บุกรุกที่อาจทำให้มีการคัดค้านหรืออุทธรณ์ได้ เมืองพัทยา จึงได้ดำเนินการออกคำสั่งใหม่ภายใต้ความร่วมมือจากหลายหน่วยงานในการตรวจสอบที่ชัดเจนมากขึ้น
“ ซึ่งขณะนี้คำสั่งกำลังเสนอเรื่องเพื่อลงนามและดำเนินการตามขั้นตอนอย่างเร่งด่วนแล้วตามอำนาจที่มี โดยเฉพาะอาคารสิ่งปลูกสร้างซึ่งแยกออกเป็น 4 รายการ ได้แก่เวทีขนาดใหญ่พื้นที่ 18.30x55.30 เมตร และอาคารห้องอาหารขนาด 35x40 เมตรที่ต้องรื้อถอนออกบางส่วน เนื่องจากไม่ได้ระยะแนวกันเขตจากระดับน้ำ ทะเล และอาคารพักขนาด 5.15x45 เมตร รวมไปถึงอาคารที่ก่อสร้างในพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์จำนวนหลายอาคารที่พบว่ามีการก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร”
นายสุธรรม ยังเผยอีกว่าเรื่องดังกล่าวแม้ที่ผ่านมา “บ้านสุขาวดี” จะออกมาร้องขอให้มีการออกโฉนดบนที่ดิน 11 ไร่โดยระบุว่าเป็นที่งอก แต่เมืองพัทยา ก็ได้ทำการคัดค้านและทำเรื่องไปยังอำเภอบางละมุง เพื่อขอให้ออกเอกสารเป็นที่ดินขอหลวง หรือ น.ส.ร. เพื่อ ให้เกิดความชัดเจน
ส่วนเรื่องการบุกรุกที่ดินสาธารณะนั้น ขณะนี้เมืองพัทยา ได้ประสานไปยัง กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI เพื่อให้เข้ามาดำเนินการตรวจสอบและรับเรื่องเป็นคดีทางอาญา หลังได้มีการประชุมร่วมกันและตรวจสอบเอกสาร ความเป็นมา รวมถึงขั้นตอนและปัญหาต่างๆ ไปแล้ว
โดยขณะนี้รอเพียงการตรวจสอบและนำเสนอในส่วนของ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI เพื่อพิจารณาว่าจะรับเป็นคดีพิเศษเช่นเดียวกับการบุกรุกเพื่อก่อสร้างรีสอร์ทในจังหวัดภูเก็ตหรือไม่ เนื่องจากคดีนี้ยืดเยื้อและเข้าข่ายความผิดที่สำคัญที่อยู่ในเงื่อนไขการเป็นคดีพิเศษได้
และหลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนทั้งหมด เมืองพัทยา ก็จะทำแนวรั้วไปปิดกัน พร้อมปักหมุดบนพื้นที่ดังกล่าวเพื่อให้เกิดความชัดเจนต่อไป
นอกจากปัญหา “บ้านสุขาวดี” แล้ว ในส่วนของคลองนกยาง ที่มีผู้บุกรุกจำนวน 115 ราย และมีการสร้างกำแพงปิดกั้นทางน้ำลงสู่ทะเลนั้น เมืองพัทยา จะทำการสำรวจออกแบบเพื่อก่อสร้างอาคารที่พักอาศัย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่บุกรุกแนวคลองได้เช่าพักอาศัย ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาคำอุทธรณ์ระดับจังหวัด เกี่ยวกับการเยียวยาผู้เดือดร้อน พร้อมจะเจรจากับทางวัดช่องลมเพื่อเปิดแนวกำแพงของวัดที่มีการก่อสร้างปิดกั้นแนวคลองไว้ในความกว้างประมาณ 70 เมตร เพื่อเปิดให้น้ำสามารถไหลลงสู่ทะเลได้เหมือนในอดีต
เพื่อลดปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่นาเกลือ จากนั้นจึงจะรื้อถอนอาคารตลอดแนวคลองออกทั้งหมด พร้อมทำการขุดขยายแนวคลองให้มีสภาพดังเดิม และผนวกรวมกับพื้นที่ 11 ไร่ที่มีปัญหาบุกรุกมาจัดทำเป็นพื้นที่สาธารณะประโยชน์และสวนสาธารณะ เพื่อให้เกิดความสวยงามและเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ก่อนเสนอขอจัดสรรงบประมาณดำเนินการต่อไป