พิจิตร - เจ้าหน้าที่ระดม นร.-นศ.ร่วมร้อยนับเงินบริจาควัดหลวงพ่อเงินฯ ต่อวันที่สอง ครบ 27 ตู้ได้ 4 ล้านเศษ พรุ่งนี้ (25 ก.ค.) นัดเปิดตู้นิรภัย-บัญชีวัตถุมงคลต่อ ด้านเจ้าคณะจังหวัดพิจิตรแจงข้อครหารีดส่วยวัดบางคลานหลังโดนโจมตีหนัก
วันนี้ (23 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนา รวมถึงรักษาการเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน กรรมการวัด ไวยาวัจกร เข้าตรวจสอบทรัพย์สินวัดหิรัญญาราม หรือวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน ต.บางคลาน อ.โพทะเล จ.พิจิตร ตั้งแต่วานนี้ (23 ก.ค.) เป็นต้นมา
ล่าสุดทางเจ้าหน้าที่ยังคงระดมนักเรียน-นักศึกษาจากวิทยาลัยชุมชนพิจิตร เกือบ 100 คน เข้านับเงินจากตู้บริจาควัดหลวงพ่อเงินบางคลานต่อเนื่องเป็นวันที่สอง ซึ่งพบว่ามีเงินบริจาคทั้งหมด 27 ตู้ รวมทั้งสิ้นประมาณ 4 ล้านบาทเศษ (ไม่รวมเงินเหรียญที่ยังไม่ได้นับ) ซึ่งทางรักษาการเจ้าอาวาส และคณะกรรมวัด ไวยาวัจกรวัดหิรัญญาราม หรือวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน ที่มีทั้งคนเก่าและคนใหม่ ก็จะได้นำเข้าฝากที่ธนาคารต่อไป และในวันพรุ่งนี้ (25 ก.ค.) ก็จะมีการเปิดตู้นิรภัยตรวจนับทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย การจำหน่ายวัตถุมงคลด้วย
ด้านพระราชสิทธิเวที เจ้าคณะจังหวัดพิจิตร ให้สัมภาษณ์ชี้แจงว่า กรณีการตรวจสอบทรัพย์สินวัดหิรัญญาราม หรือวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจ้าคณะจังหวัดพิจิตรเลย ทุกฝ่ายปฏิบัติตามคำสั่งศาล แต่กลับมีกลุ่มบุคคลรวมถึงสื่อมวลชน และนักเลงคีย์บอร์ด ที่อาจไม่รู้ความจริง พยายามจะกล่าวใส่ร้ายป้ายสีเจ้าคณะจังหวัดพิจิตรใน 3 ประเด็น คือ
1. กล่าวหาและแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จกล่าวหาว่า เจ้าคณะจังหวัดพิจิตรใช้อำนาจขอยืมเงินจากวัดหิรัญญาราม หรือวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน จำนวน 2 ล้านบาท เพื่อนำเงินไปสร้างพระอุโบสถวัดถ้ำชาละวัน หมู่ 1 บ้านดงชาละวัน ต.คลองคะเชนทร์ อ.เมืองพิจิตร ซึ่งในช่วงเวลานั้นเจ้าคณะจังหวัดพิจิตรเป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดถ้ำชาละวัน
เจ้าคณะจังหวัดฯ ชี้แจงว่าก็เป็นเรื่องปกติในหมู่พระสงฆ์ วัดไหนที่มีกำลังพอก็จะจุนเจือวัดเล็ก หรือวัดในถิ่นทุรกันดาร ซึ่งก็ถือก็เป็นเรื่องปกติของวัดใหญ่ก็ควรจะสงเคราะห์วัดเล็ก ไม่ได้ไปขู่เข็ญหรือบังคับแต่อย่างใด เป็นการขอความร่วมมือ และได้ทำหนังสือเป็นหลักฐานเป็นเรื่องเป็นราวว่าเป็นการขอยืม ไม่ได้ขอมาเฉยๆ แล้วเมื่อวัดถ้ำชาละวันก่อสร้างหรือสำเร็จลุล่วงแล้วก็จะใช้คืน
อย่างไรก็ตาม การยืมเงินมาสร้างพระอุโบสถและวิหารวัดถ้ำชาละวันในคราวนั้น คณะกรรมการฯ-เจ้าอาวาสวัดหิรัญญาราม หรือวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน ในขณะนั้นก็ไม่ได้อนุมัติ ซึ่งก็ไม่ได้ติดใจ ก็ถือว่าเป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ หรือของวัดที่ว่าจะให้ยืมหรือไม่ให้ยืมเงิน
“กรณีที่อดีตเจ้าอาวาสวัดบางคลานถูกปลดออกจากตำแหน่งนั้น เป็นคนละเรื่องกับการกล่าวหาเจ้าคณะจังหวัดพิจิตร แต่กลับนำเรื่องการขอยืมเงินมาใส่ร้าย ซึ่งปลดเจ้าอาวาสวัดบางคลานนั้นเพราะเป็นมติคณะกรรมการสอบสวน และพระมหาเถระ หรือเจ้าคณะผู้ปกครองโดยลำดับชั้น มีคำสั่งให้ออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาส”
2. เรื่องเงิน 5 แสนบาทที่มีใบอนุโมทนาบัตรของวัดถ้ำชาละวันเป็นหลักฐานที่เอามากล่าวร้ายป้ายสี ขอชี้แจงว่าเป็นความศรัทธาของเจ้าอาวาสวัดบางคลานในขณะนั้น ซึ่งเจ้าคณะจังหวัดฯ ได้จัดงานทอดผ้าป่าเพื่อจะสร้างพระอุโบสถวัดถ้ำชาละวัน
พระราชสิทธิเวทีบอกต่ออีกว่า ตอนนั้นอดีตเจ้าอาวาสวัดบางคลานก็สอบถามมาว่า พระประธานในพระอุโบสถมีหรือยัง เมื่อไม่มีอดีตเจ้าอาวาสฯ ก็แสดงความประสงค์ขอเป็นเจ้าภาพ อีกทั้งยังถามว่าจะต้องใช้เงินเท่าไหร่ในการดำเนินการสร้างพระประธานในโรงอุโบสถ ก็บอกไปว่าประมาณ 5 แสนบาท ท่านเจ้าอาวาสวัดบางคลาน (ในตอนนั้น )ก็ได้นำเงินมาบริจาคที่วัดถ้ำชาละวันต่อหน้าสาธารณชนในวันจัดงานทอดผ้าป่าวัดถ้ำชาละวัน
ในช่วงนั้นอาตมารักษาการเป็นเจ้าอาวาสวัดถ้ำชาละวันอยู่ จึงได้ออกใบอนุโมทนาบัตรให้เป็นหลักฐาน และขณะนี้การก่อสร้างพระประธาน คือ พระพิจิตรพุทธมงคล ก็เสร็จสมบูรณ์ เป็นพระหน้าตักกว้าง 54 นิ้ว พุทธศาสนิกชนสามารถเข้าไปกราบไหว้ได้ เป็นการร่วมทำบุญไม่ใช่เป็นการจ่ายส่วยอย่างที่กล่าวอ้างใส่ร้าย
3. ข้อกล่าวหาว่า เจ้าคณะจังหวัดขู่เข็ญ บังคับให้เจ้าอาวาสวัดบางคลาน (ในตอนนั้น) จ่ายส่วยให้ไปเที่ยวต่างประเทศนั้นก็ไม่เป็นความจริงเช่นกัน เรื่องจริงก็คือเจ้าอาวาสวัดบางคลาน (ในตอนนั้น) ทราบว่าเจ้าคณะจังหวัดพิจิตรจะเดินทางไปต่างประเทศเพื่อปฏิบัติศาสนกิจ ประชุมร่วมกับสมัชชาคณะสงฆ์ที่อเมริกา
วัดบางคลานก็เสนอตัว โดยถามมาว่า หลวงพ่อ การเดินทางครั้งนี้มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ซึ่งก็ตอบไปว่าประมาณ 160,000 บาท โดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือขอ หรือเอ่ยปากขอแต่อย่างได้ จู่ๆ ทางวัดบางคลานก็ให้ผู้แทนนำเงินมาถวายให้เพื่อไปปฏิบัติศาสนกิจยังต่างประเทศ
“ประเด็นนี้วัดบางคลานนำเรื่องไปฟ้องศาล ซึ่งเมื่อถึงเวลาสืบพยานกลับขอถอนฟ้อง ศาลไม่อนุญาต และไม่ยอมนำพยานเข้าสืบ ศาลจึงสอบถามข้อเท็จจริงเบื้องต้นแล้ววินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่ากระทำความผิด จึงยกฟ้องแล้ว”
เจ้าคณะจังหวัดพิจิตรกล่าวต่อว่า อยากบอกในสิ่งที่มีอีกหลายเรื่องที่เกิดขึ้นโดยหลายคนยังไม่รู้ความจริงว่า เรื่องต่างๆ ได้ผ่านกระบวนการของการฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาลมาแล้วถึง 3 ศาล และคำพิพากษาในทุกคดีศาลก็พิจารณายกฟ้องไปหมดแล้ว ดังนั้นจึงขอร้องทุกคนฟังความจริงให้รอบด้านก่อนที่จะวิพากษ์วิจารณ์