ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - ผบช.ภ.3 สอบปากคำคนขับรถทัวร์มรณะ ตั้ง 5 ข้อหาหนักคนขับและเจ้าของรถ ยอมรับเสพยาบ้าก่อนขับกลับ ค้นประวัติเคยโดนจับกุมดำเนินคดียาเสพติด 5 ครั้ง ขณะที่ผู้บาดเจ็บประกาศไม่ขอนั่งรถ 2 ชั้นชั่วชีวิต
วันนี้ (23 มี.ค. 61) ที่ สภ.อุดมทรัพย์ อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 พร้อมด้วย พล.ต.ต.วัชรินทร์ บุญคง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา, พ.ต.อ.บุญเลิศ ว่องวัจนะ รอง ผบก.ภ.นครราชสีมา หัวหน้าพนักงานสอบสวน, พ.ต.อ.สมร ทองกลาง ผกก.สอบสวน ตร.ภ.นครราชสีมา และ ผกก.สภ.อุดมทรัพย์, ผกก.สภ.วังน้ำเขียว, ตำรวจทางหลวง, นายจรูญ จงไกรจักร นักวิชาการชำนาญการพิเศษขนส่ง จ.นครราชสีมา และแขวงการทางนครราชสีมา ที่ 3,
หน่วยงานกองพิสูจน์หลักฐาน พร้อมพนักงานสอบสวนได้มีการประชุมสรุปเหตุการณ์และข้อเท็จจริงในคดีรถบัสท่องเที่ยวเกิดอุบัติเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากตามข่าว โดยใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง นายตำรวจที่ติดตามได้รับคำสั่งห้ามไม่ให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปร่วมสังเกตการณ์แต่อย่างใด ขอเป็นความลับ ซึ่งต่อมาทนแรงกดดันไม่ได้จึงอนุญาตให้เข้าบันทึกภาพได้เท่านั้น
พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 เปิดเผยว่า การประชุมวันนี้เราได้ข้อเท็จจริงบางส่วนแล้ว และเตรียมมาตรการที่จะป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นอีก ซึ่งก็ได้ทราบถึงสาเหตุและเห็นข้อเท็จจริงกันแล้ว ส่วนคนขับรถขณะนี้รักษาตัวอยู่ที่ รพ.มหาราชนครราชสีมา ซึ่งผลการตรวจปัสสาวะของนายกฤษณะ ฑาชื่น คนขับรถบัสยืนยันแล้วว่าคนขับรถคันดังกล่าวงมีสารเสพติด (ยาบ้า) อยู่ในปัสสาวะ
จากการตรวจสอบประวัติย้อนหลังพบว่าคนขับเคยถูกจับกุมคดีเสพยาบ้าหรือครอบครองยาบ้ามาแล้วถึง 5 ครั้งตั้งแต่ปี 2545 ล่าสุดเดือนตุลาคม 2556 เบื้องต้นตำรวจได้แจ้งข้อหา 3 ข้อหา คือ 1. ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นบาดเจ็บและเสียชีวิต ไม่หยุดให้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ และ 2. เสพยาเสพติดขณะขับรถ โดยเขาให้การว่าเสพยาบ้าก่อนขับรถเพื่อไม่ให้ง่วง โดยคำให้การระบุว่าเสพมา 2 เม็ด 3. ขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด
ขณะที่ผลการตรวจสอบสภาพตัวรถทางเจ้าหน้าที่ขนส่งจังหวัดนครราชสีมาตรวจสอบเบื้องต้นแล้วพบว่าสภาพเบรกไม่ได้แตกหรือมีน้ำมันรั่วไหล จึงเป็นไปได้ว่าคนขับไม่ชำนาญเส้นทาง และขับรถเร็วเกินกว่าป้ายเตือนห้ามวิ่งเกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพราะจากการตรวจเช็กจีพีเอสพบว่าก่อนเกิดอุบัติเหตุรถคันดังกล่าววิ่งด้วยความเร็ว 83 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ประกอบกับเส้นทางที่เกิดเหตุเป็นทางลงเขาลากยาว 6 กิโลเมตร จึงทำให้คนขับเหยียบเบรกต่อเนื่องจนลมในปั๊มเบรกหมด ทำให้รถเบรกไม่อยู่จึงเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น โดยเราได้ตัวคนขับมาเพียงคนเดียว ส่วนผู้ช่วยคนขับยังไม่พบตัว
“จากการสอบสวนทุกอย่างทางพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาไปเรื่องการเสพยาเสพติด (ยาบ้า) ในขณะขับรถ และขับรถประมาททำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสแล้วยังหลบหนีไม่มาช่วย และฝ่าฝืนเครื่องจำกัดความเร็วของกรมทางหลวง ซึ่งระบุไว้ว่า 60 กม./ชม. โดยรถคันนี้มี GPS ทางขนส่งตรวจสอบเบื้องต้นใช้ความเร็วประมาณ 83 กม./ชม. ส่วนสาเหตุของระบบรถขัดข้องหรือประมาทนั้น จากการพูดคุยกับหน่วยงานทุกส่วนยังไม่มั่นใจเรื่องสภาพเป็นรอยเบรกหรือรอยครูด แต่ตรวจสอบแล้วสภาพเบรกไม่มีรอยรั่วจากน้ำมันก็แสดงว่าเบรกไม่แตกแน่นอน อาจจะเกิดจากรถทางลงเขาชันเมื่อใช้ลมเบรกมากเกินไปลมอาจจะหมดทำให้ระบบเบรกใช้การไม่ได้เต็มที่ และระยะทางลงเขาถึงจุดเกิดเหตุ 6 กม. ถ้าคนขับไม่ชำนาญและไม่ใช้เกียร์ต่ำแล้วใช้เบรกอย่างเดียวทำให้ลมหมด สภาพเบรกแข็งตัวทำงานไม่ได้เต็มที่” พล.ต.ท.ดำรงค์กล่าว
ในส่วนของเจ้าของรถนั้น จากการสอบถามทางขนส่งแล้วตามกฎหมายต้องตรวจสภาพปีละ 2 ครั้ง แต่คันนี้ผ่านไปกว่าปีเศษแล้วยังไม่ได้ไปตรวจซ้ำ ฉะนั้นเรื่องตรวจสอบสภาพรถถือว่าไม่เป็นไปตามข้อบังคับของขนส่ง รวมทั้งเรื่องการปล่อยให้มีการเสพยาบ้าแล้วมาขับรถ กฎหมายขนส่งระบุไว้ชัดเจนว่า การยินยอมหรือให้เสพยาบ้าแล้วขับรถหรือไม่ดูแลให้ดีมันจะเป็นความผิด อันนี้เราจะต้องรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อนำไปสู่การแจ้งข้อหาผู้ประกอบการด้วยใน 2 ข้อหานี้อีกครั้งหนึ่ง ส่วนคนขับจะสำนึกผิดขอโทษหรือไปขอขมาผู้เสียชีวิตนั้น ตอนนี้คนขับยังอยู่โรงพยาบาลยังไม่ได้พูดคุยรายละเอียดขนาดนั้น
ส่วนจุดเกิดเหตุหลังจากนี้จะติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์ให้ผู้ขับขี่รถทุกชนิดใช้เกียร์ต่ำ และจะมีการติดตั้งป้ายเตือนให้เห็นชัดเจนมากขึ้น และมอบหมายให้ตำรวจทางหลวงและตำรวจท้องที่จับความเร็วบริเวณจุดเสี่ยงให้มากและถี่ขึ้น เพราะความเร็วเป็นสิ่งสำคัญที่จะลดอุบัติเหตุได้ดี และการติดตั้งไฟกะพริบเตือนก่อนรถจะเข้าทางโค้ง โดยเฉพาะโค้งอันตราย การติดตั้งแสงสว่างเพิ่มเติม และทางกรมทางหลวงจะมีการต่อแท่งแบริเออร์ให้สูงขึ้นทุกจุด
นายจรูญ จงไกรจักร นักวิชาการชำนาญการพิเศษขนส่ง จ.นครราชสีมา กล่าวว่า ผู้ประกอบการรายนี้ชื่อ นางทัน เลิศสหพันธ์ มีรถให้บริการ 3 คัน และคันที่ประสบเหตุขนส่งได้สั่งเพิกถอนการจดทะเบียนไปแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้ (22 มี.ค.) ส่วนอีก 2 คันที่เหลือนายทะเบียนขนส่ง จ.กาฬสินธุ์สั่งให้นำรถไปตรวจสภาพอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งได้เรียกผู้ประกอบการไปพบแล้ว มีเพียงคันนี้คันเดียวที่ไม่ไปตรวจสภาพตามวงรอบที่จะเป็น
ส่วนผู้โดยสารที่ได้รับบาดเจ็บได้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาจำนวน 8 ราย ในจำนวนนี้มีเด็ก 2 รายอาการยังสาหัสต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ พยาบาลอย่างใกล้ชิด โดยมีผู้ปกครองคอยดูแลอยู่ข้างเตียงลูกตลอดเวลา ในจำนวนนี้มี 2 คนที่พอพูดคุยได้ คือ นางรัตนาภรณ์ ทุมเกสร และนายธนากร สิงห์โห อายุ 56 ปี นอนรักษาอาการบาดเจ็บ เล่านาทีชีวิตให้ฟังว่า ก่อนเกิดเหตุรถคันนั้นวิ่งส่ายไปส่ายมาตลอดเวลา โดยเฉพาะช่วงลงเขาชันและมีทางโค้ง ตนอยู่ชั้น 2 ของรถบัสคันดังกล่าวจึงได้ลงไปทักท้วงคนขับรถ ซึ่งเขาบอกว่าคันเร่งมันค้าง ตนบอกปลดคันเร่งแล้วเปิดไฟกะพริบและใส่เกียร์ 1 ให้รถชะลอความเร็วลง
จากนั้นคนขับรถก็โยกคันเกียร์ให้ตนดูแล้วบอกว่าใส่เกียร์ไม่เข้า ตนแหงนมองทะลุกระจกหน้ารถไปข้างหน้า จากนั้นตนก็วิ่งขึ้นไปชั้น 2 ไปหาแฟนตนเองแล้วจับแฟนดึงตัวแล้วกอดแฟนไว้แน่นลงนอนกับพื้นชั้น 2 แล้วเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นรวดเร็วมาก ขณะเกิดเหตุตนรู้สึกกลัวมาก แต่สติยังดีอยู่ ก่อนยกมือไหว้ขอบคุณที่รอดมาได้หวุดหวิด พร้อมกับกล่าวว่าจากนี้ไปตนจะไม่ขอนั่งรถบัสรถทัวร์ 2 ชั้นไปตลอดชีวิตเลย