ศูนย์ข่าวศรีราชา - ทีมดูแลงานกฎหมาย “ครอบครัวตัญกาญจน์” ลั่น...พร้อมแล้วทั้งพยานบุคคล-เอกสาร เตรียมเดินหน้าฟ้อง 3 ศาล ทั้งอาญา, แพ่ง และศาลปกครอง เอาผิดผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของ นตท.ภัคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ “น้องเมย” เผยเป็นการเสียชีวิตขณะใช้คำนำหน้า “ นตท.” และยังเสียชีวิตภายในโรงเรียนเตรียมทหาร จึงต้องมีผู้รับผิดชอบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 11.00 น.วันนี้ (8 มี.ค.) ครอบครัวตัญกาญจน์ ประกอบด้วย นายพิเชษฐ-นางสุกัลยา และ น.ส.สุพิชา ได้ประชุมร่วมกับทีมดูแลงานกฎหมายและทีมทนายความจาก บริษัท บาร์ริสเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ลอว์เฟิร์ม จำกัด ที่มี พ.ต.อ.สุธี แพทย์รังสี ที่ปรึกษาบริษัทฯ ร่วมในการประชุม โดยมีจุดประสงค์เพื่อเดินหน้าเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับ นตท.ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ น้องเมย ที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 ต.ค.2560 ที่ผ่านมา ตามกระบวนการของกฎหมาย หลังไม่ได้รับคำชี้แจงถึงสาเหตุการเสียชีวิตที่มีความชัดเจนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และได้รับคำชี้แจงจากโรงเรียนเตรียมทหารเพียงว่า เกิดจากภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน
พ.ต.อ.สุธี เผยว่าในวันนี้ ทีมทนาย ได้สรุปข้อมูลและหลักฐานทั้งหมดที่มีจนสะเด็ดน้ำและทำให้รู้ได้ว่านับจากนี้ไปจะเดินหน้าในกระบวนการยุติธรรมอย่างไร ภายใต้ประเด็นความสงสัยเรื่องการเสียชีวิตที่มีค่อนข้างมาก ขณะที่หลักฐานที่มีในมือและที่แสวงหาเพิ่มเติมเป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะสามารถแสดงให้ศาลรับทราบและรับฟังในสิ่งที่สงสัย ควบคู่ไปกับพยานบุคคลและพยานเอกสาร ที่จะทำให้ศาลเชื่อได้ว่ามีการลงมือกระทำจริง โดยจะดำเนินเรียกร้องความยุติธรรมควบคู่กันไปทั้ง 3 ศาล คือศาลอาญา, แพ่ง ,และศาลปกครอง
“ กรณีที่ทางโรงเรียนเตรียมทหาร ได้นำภาพจากล้องวงจรปิด มาเผยแพร่ เป็นส่วนหนึ่งที่เรารับฟังแต่จะให้เราเชื่อทั้งหมดคงเป็นไปไม่ได้ เช่นเดียวกับความพยายามในการแสดงความบริสุทธิ์ของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตามที่ได้มีการแถลงข่าวไป เพราะคนของเราเสียชีวิตมาเกือบ 140 วันแล้ว ซึ่งท่านทั้งหลายก็ได้นอนนิ่ง นั่งนิ่ง ยืนนิ่งกันมานานแล้ว วันนี้ท่านต้องได้ขับเคลื่อนที่จะมาเจอกันบ้าง ซึ่งนั่นหมายถึงทุกท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของ น้องเมย ”
ส่วนระยะเวลาในดำเนินงานจะมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่ที่ขบวนการต่างๆ รวมทั้งในชั้นศาลโดยทางทีมงานยืนยันว่า แม้จะต้องใช้เวลาในการทำงานนานเพียงใดก็จะเดินหน้าต่อไป เช่นเดียวกับที่มีผู้ต้องที่ถูกสั่งฟ้อง ที่ได้รับการประกันตัวไป ก็ถือว่าเป็นสิทธิ์ที่สามารถกระทำได้ แต่ทีมทนายก็มีหลักฐานในการดำเนินคดี ที่เมื่อสาวไปถึงใครก็จะดำเนินคดีกับผู้นั้น ด้วย
“ กรณีการเสียชีวิตของเด็กจากปัญหาสุขภาพที่ได้รับการชี้แจง กับหลักฐานที่เรามีมันต่างกันคืออันดับแรก ความแตกต่างทางร่างกายการเมื่อเริ่มเข้ามาในโรงเรียนฯ กับสิ่งที่เป็นในปัจจุบัน มันค้านกันและเป็นไปไม่ได้ที่ว่า คนอ่อนแอ แล้วกองทัพ จะรับเข้าไปเป็นนักเรียน เด็กไกลับมาบ้านวิ่งเป็นระยะทาง 10 กม.ยังไม่มีอาการเหน็ดเหนื่อยมีใครรู้ล่ะ แต่พี่น้อง พ่อแม่ เขารู้ วันนี้จึงบอกได้เลยว่าเราไม่หนักใจในการทำคดี เพราะเราไม่ได้สู้กับทหาร แต่วันนี้ลูก-หลาน เราเสียชีวิต ทหารก็ต้องย้อนกลับมาดูว่าพวกท่านได้ดูแลลูก-หลานของเราหรือยัง ที่สำคัญโรงเรียนเตรียมทหาร เป็นสถาบันหลักที่มีหน้าที่ผลิตบุคลากรรับใช้ชาติ จะมาตีรวนว่าสิ่งไม่ดีที่เกิดขึ้นต้องปกป้อง มันต้องแยกกันให้ออกเพราะสถาบันก็ต้องเป็นสถาบันต่อไป ในวันนี้เราเพียงจะเดินหน้าหาตัวคนที่รู้เห็นและเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตทั้งหมดมาดำเนินคดี ”พ.ต.อ.สุธี เผย
เช่นเดียวกับ นายชวลิต แสวงทรัพย์ ผู้ประสานงานทีมทนาย ที่เผยว่าแม้ที่ผ่านมาทีมงานจะประสบปัญหาเรื่องการหาตัวพยานบุคคล แต่ก็เชื่อมั่นว่าเมื่อเข้าสู่กระบวนการในชั้นศาลแล้ว ข้อมูลเรื่องพยานบุคคลที่เคยถูกกำหนดมาว่าต้องให้ข้อมูลไปในทิศทางเดียวกัน จะคลายออกมาเอง
ด้าน น.ส.สุพิชา เผยว่าในวันนี้ทางครอบครัว ต้องการให้เกิดกระบวนการรับผิดชอบกับความสูญเสียที่เกิดขึ้น หมายถึงหากทางโรงเรียนฯ ต้องการที่จะเยียวยาทางครอบครัว ก็จะต้องผ่านขั้นตอนการดำเนินการในส่วนคดีแพ่ง ที่สำคัญขณะนี้ทางครอบครัวต้องการโรงเรียนเตรียมทหาร ให้ความร่วมมือด้านเอกสาร โดยเฉพาะเอกสารเรื่องการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเสียชีวิตของน้องชาย
“เราเคยขอไปหลายครั้งแต่ก็ได้รับเพียงการนิ่งเฉย และเราก็อยากให้ทางโรงเรียนสนใจในคำขอ และส่งมาให้เราบ้าง แทนที่จะร้องขอเอกสารจากเราอยู่ฝ่ายเดียว ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าเราได้รับการเยียวยาจากทางโรงเรียนฯนั้น ที่ผ่านมาเราไม่เคยได้รับการเยียวยาใดๆ นอกจากเงิน 1 แสนบาท ซึ่งไม่รู้ว่าใช่การเยียวยาหรือไม่ เพราะทางโรงเรียนฯ แจ้งแค่ว่า เป็นค่าทำศพ และเงินตรงนี้ ยังเก็บไว้อย่างดีไม่เคยเปิดใช้ และเมื่อมีการปล่อยข่าวว่าเราได้รับเงินเยียวยาจำนวน 10 ล้านบาท ทำให้เราเสียหายมาก ” น.ส.สุพิชา กล่าว