กาฬสินธุ์ - เดินหน้าตรวจสอบความผิดปกติการจัดซื้อปัจจัยการผลิตโครงการ 9101 ที่อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ฉาวไม่เลิก หลังผลตรจสอบพบมีแค่บริษัทรับเหมารายเดียวที่กวาดเรียบทั้ง 39 โครงการ ทั้งมีคู่แข่งแค่รายเดียว ด้านชาวบ้านโวยได้รับแจกปัจจัยการผลิต ไม่คุ้มค่าเงินช่วยเหลือรายละ 5,000 บาท
จากกรณีชาวบ้านพบความผิดปกติการซื้อปัจจัยการผลิตโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อฟื้นฟูอาชีพด้านการเกษตรแก่เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยหลังน้ำลดหลายพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ราคาสูงกว่าท้องตลาด โดยเฉพาะ ต.บัวบาน อ.ยางตลาด, อ.นาคู, อ.กุฉินารายณ์, อ.ห้วยผึ้ง, อ.เขาวง และ อ.สมเด็จ เนื่องจากจัดซื้อพันธุ์ปลาดุกขนาดเล็กไม่เหมาะสมกับราคา อีกทั้งยังมีหัวอาหารปลาดุก และปุ๋ยชีวภาพราคาแพงกว่าท้องตลาด จนชาวบ้านต้องนำเรื่องดังกล่าวเข้าร้องทุกข์ต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผ่านศูนย์ดำรงธรรมเรียกร้องให้ตรวจสอบ
ล่าสุดวันนี้ (16 ม.ค.) พ.อ.มานพ ไขขุนทด รอง ผอ.รมน.กาฬสินธุ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบการทุจริตโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อฟื้นฟูอาชีพด้านการเกษตรแก่เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยหลังน้ำลด จ.กาฬสินธุ์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรม จ.กาฬสินธุ์ เข้าตรวจสอบเอกสารการจัดซื้อปัจจัยการผลิตโครงการ 9101 ในพื้นที่ อ.กุฉินารายณ์ กับนายบุญเยี่ยม พรหมทองแก้ว เกษตรอำเภอกุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ หลังจากก่อนหน้านี้มีชาวบ้านร้องเรียนไปยังศูนย์ดำรงธรรมอำเภอกุฉินารายณ์ให้ตรวจสอบ ชาวบ้านระบุว่าจัดส่งปัจจัยการผลิต โดยเฉพาะพันธุ์ปลาดุก ปลานิล ปลาตะเพียนมีขนาดตัวเล็ก ไม่เหมาะสมกับราคา ส่วนหัวอาหาร พันธุ์ข้าว และปุ๋ย ก็แพงกว่าท้องตลาด
พ.อ.มานพ ไขขุนทด รอง ผอ.รมน.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบการดำเนินโครงการดังกล่าวในอำเภอกุฉินารายณ์มีทั้งหมด 39 โครงการ 18 ชุมชน งบประมาณ 23,135,000 บาท ส่วนใหญ่เป็นโครงการเลี้ยงปลาดุกและปลานิลมากถึง 21 โครงการ รองลงมาคือปลูกพืช ที่น่าผิดสังเกตพบว่าคู่สัญญาที่เป็นบริษัทรับเหมาที่ทำสัญญาซื้อขายจัดส่งปัจจัยการผลิตให้ชาวบ้านทั้งหมด 39 โครงการนั้น กลับเป็นบริษัทรับเหมารายเดียว และมีบริษัทรับเหมาที่ส่งเอกสารราคามาแข่งขันก็เป็นรายเดียวทั้ง 39 โครงการ ตั้งข้อสังเกตว่า สาเหตุใดจึงมีบริษัทรายเดียวรับงานจัดส่งปัจจัยทั้งหมด และมีบริษัทส่งราคามาแข่งขัน เหมือนกับการยื่นซองประกบเพื่อให้เอกสารถูกต้องเพียงรายเดียว
เรื่องดังกล่าวคณะกรรมการและชาวบ้านตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะเป็นการล็อกสเปกบริษัทรับเหมา อาจจะทำให้ไม่มีการแข่งขันราคากัน จนเป็นสาเหตุให้ราคาปัจจัยการผลิตสูงกว่าท้องตลาดหรือไม่ ซึ่งคณะกรรมการจะเข้าตรวจสอบราคาตามท้องตลาดอย่างละเอียด เพื่อเปรียบเทียบกับราคาปัจจัยการผลิตที่นำมาส่งว่าสาเหตุใดที่ราคาแพง และชาวบ้านที่ประสบภัยน้ำท่วมนั้นได้รับแจกปัจจัยการผลิตคุ้มค่ากับเงินช่วยเหลือรายละ 5,000 บาทหรือไม่ โดยเฉพาะพันธุ์ปลาดุก ปลานิล ปลาตะเพียนที่แจกจ่ายมากกว่า 7 ล้านตัว ราคาตัวละ 2 บาท
ชาวบ้านระบุว่าปลาตัวเล็กไม่เหมาะสมกับราคา เนื่องจากกำหนดสเปกปลาดุกไว้ขนาด 5-7 ซม. ราคาตัวละ 2 บาท แต่ราคาปลาตามท้องตลาดหรือฟาร์มปลานั้นปลาดุกขนาด 5-7 ซม. ราคาอยู่ที่ตัวละประมาณ 70 สตางค์ ไม่เกิน 1 บาท หากเปรียบเทียบกับพื้นที่อำเภออื่นๆ ที่มีการแจกจ่ายพันธุ์ปลาดุกเช่นกัน ซึ่งมีการจัดส่งในราคาตัวละ 2 บาทเท่ากัน แต่ทำไมได้ปลาขนาดตัวโตถึง 7-10 ซม. รวมทั้งราคาของหัวอาหารปลาดุกในพื้นที่ อ.กุฉินารายณ์ที่เบื้องต้นทราบว่ามีการจัดส่งในราคากระสอบละ 600 บาทอีกด้วย
