กาฬสินธุ์ - เจออีก การเสนอจัดซื้อปัจจัยการผลิตโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อฯ ฟื้นฟูอาชีพด้านการเกษตรแก่เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยใน ต.บัวบาน อ.ยางตลาด แพงเกินจริง โดยเฉพาะพันธุ์ข้าวเปลือกนาปรัง ปุ๋ย ปลาดุก และหัวอาหาร ชาวบ้านหวั่นเอื้อประโยชน์นายทุน ขณะที่ สตง.กาฬสินธุ์ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจ่อลงพื้นที่ตรวจสอบ ระบุหากพบการทุจริตดำเนินการขั้นเด็ดขาดทันที
วันนี้ (29 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการติดตามการดำเนินการโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อฟื้นฟูอาชีพด้านการเกษตรแก่เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี 2560 ซึ่งรัฐบาลมุ่งหวังต้องการให้เกษตรกรที่ประสบอุทกภัยมีอาหารไว้บริโภคในครัวเรือนหลังน้ำลด ซึ่งเป็นการลดรายจ่ายสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร
อีกทั้งยังเป็นการฟื้นฟูและส่งเสริมอาชีพด้านการเกษตรให้แก่เกษตรกรที่ประสบอุทกภัยจากพายุตาลัส และพายุเซินกา โดยได้จัดสรรงบประมาณดำเนินการครัวเรือนละ 5,000 บาท เพื่อสนับสนุนเกษตรกรในการจัดหาปัจจัยการผลิต ดำเนินกิจกรรมตามแผนดำเนินงานของเกษตรภายใต้กิจกรรม 4 ประเภท ได้แก่ การปลูกพืชอายุสั้น การลี้ยงสัตว์ การผลิตอาหารแปรรูปผลผลิตและผลิตภัณฑ์การเกษตร และการประมง
โดยผ่านการดำเนินการของคณะกรรมการระดับชุมชนและคณะกรรมการโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืนระดับอำเภอ
ในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์มีการดำเนินการจำนวน 161 ชุมชน 392 โครงการ มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 27,913 ครัวเรือน ครอบคลุม 18 อำเภอ รวมจำนวนเงิน 139,585,000 บาท ซึ่งที่ผ่านมา นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ นายเอนก รัตน์รองใต้ เกษตร จ.กาฬสินธุ์ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันทำพิธีลงนามข้อตกลงกับคณะกรรมการชุมชน เพื่อที่จะร่วมกันดำเนินงานโครงการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน
พร้อมกำชับให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง คณะกรรมการระดับอำเภอ และคณะกรรมการชุมชนดำเนินการอย่างโปร่งใส ตามระเบียบขั้นตอนและตรวจสอบได้ ทำให้ชุมชนส่วนใหญ่ได้ดำเนินการตามระเบียบขั้นตอนและเปิดให้ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบน้ำท่วมเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อให้เกิดความโปร่งใสตามนโยบายของทางจังหวัด
แต่ล่าสุดกลับพบความผิดปกติการดำเนินโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อฯ เพื่อฟื้นฟูอาชีพด้านการเกษตรแก่เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยของกลุ่มชุมชนบัวบาน 1 และกลุ่มชุมชนบัวบาน 2 ต.บัวบาน อ.ยางตลาด เนื่องจากพบเอกสารการเสนอโครงการ เพื่อที่จะจัดซื้อปัจจัยการผลิตราคาสูงกว่าความเป็นจริงและแพงกว่าท้องตลาด โดยเฉพาะพันธุ์ข้าวเปลือกนาปรังมีการกำหนดราคาซื้อไว้ในราคาสูงถึงกระสอบละ 700 บาท พันธุ์ปลาดุกเสนอและกำหนดไว้ราคาสูงถึงตัวละ 3 บาท และหัวอาหารปลาดุกราคากระสอบละ 550-600 บาท นอกจากนี้ยังมีการเสนอราคาในการซื้อปุ๋ยชีวภาพไว้สูงกระสอบละ 550 บาทอีกด้วย
การดำเนินการดังกล่าวชาวบ้านในพื้นที่เกรงว่าจะเป็นการเอื้อประโยชน์แก่นายทุนมากกว่าเกษตรกรจะได้รับประโยชน์ เนื่องจากราคาพันธุ์ข้าวเปลือกนาปรัง พันธุ์ปลาดุก หัวอาหาร และปุ๋ยชีวภาพในพื้นที่ต่างๆ นั้นได้กำหนดราคาซื้อไว้ตามความเหมาะสมของราคาตลาด และระยะทางการขนส่ง โดยพันธุ์ข้าวเปลือกนาปรังเฉลี่ยกระสอบละประมาณ 400-500 บาท พันธุ์ปลาดุกสูงสุดราคาไม่เกิน 2 บาท และราคาหัวอาหารเฉลี่ยประมาณ 450 บาท ส่วนราคาปุ๋ยชีวภาพนั้นประมาณ 400-450 บาท
ดังนั้นจึงเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง สตง.กาฬสินธุ์ ป.ป.ท. และ กอ.รมน.กาฬสินธุ์ ร่วมกันลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วน
นายผดุง นิสังกาศ อายุ 51 ปี เกษตรกรใน ต.บัวบาน อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ตนเป็นคนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม โดยพื้นที่การเกษตรนาข้าวถูกน้ำท่วมขังนานได้รับความเสียหายไปหลายสิบไร่ ซึ่งปัจจุบันยังคงรอคอยรับการช่วยเหลือจากรัฐบาลผ่านโครงการต่างๆ
ทั้งนี้ ทราบว่าปัจจุบันมีโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อฟื้นฟูอาชีพด้านการเกษตรแก่เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย โดยตนและครอบครัวรู้สึกดีใจอย่างมาก ซึ่งหากมีการดำเนินการอย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมาก็จะเกิดประโยชน์แก่ชาวบ้านอย่างแท้จริง
ส่วนกรณีมีการที่จะซื้อพันธุ์ข้าวเปลือกนาปรังกระสอบละ 700 บาทนั้น ถือว่าเป็นราคาที่แพงมาก เพราะเท่าที่ทำนามาหลายสิบปีไม่เคยเห็นใครซื้อข้าวเปลือกแพงขนาดนี้ อีกทั้งราคาในท้องตลาดทั่วไปก็ไม่สูงถึงกระสอบละ 700 บาท
ทั้งนี้ หากซื้อแพงเกินไปก็อาจจะกลายเป็นนายทุนได้ประโยชน์มากกว่าเกษตรกรที่ประสบความเดือดร้อน และเวลาเกษตรกรนำไปขายข้าวเปลือกกลับได้ราคาถูก ซึ่งหากเป็นไปได้ก็ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงมาดูเรื่องดังกล่าวด้วย
อย่างไรก็ตาม สำหรับเรื่องดังกล่าวเบื้องต้นทาง สตง.กาฬสินธุ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบข้อมูล และเตรียมลงพื้นที่เข้าตรวจสอบ ซึ่งหากพบการกระทำผิดที่ส่อในทางทุจริตก็จะดำเนินการต่อผู้ที่เกี่ยวข้องทันที พร้อมทั้งให้คำแนะนำการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามระเบียบหลักเกณฑ์ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนต่อไป