ลำปาง - ตามแกะรอยคำสั่งเด้ง ผอ.ร.ร.คนดังเมืองรถม้า เข้า สพป.ลำปาง เขต 1 เซ่นปมผลาญเงินบำรุงการศึกษาเด็ก ที่ผู้ปกครองต้องจ่ายทั้งแบบมีใบเสร็จ-ไม่มีใบเสร็จ 4 ปี กว่า 42 ล้าน หลังถูกอดีตเลขาฯที่ต้องแบกหนี้แทนดับเครื่องชน แถมพบถูกร้องหลายครั้ง แต่เรื่องยุติสอดคล้องบันทึกจ่ายเงินสำนัก ผอ.
วันนี้( 13 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายประยูร เรือนปิงวัง ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลลำปาง (เขลางค์รัตน์อนุสรณ์) ได้เดินทางเข้ารายงานต่อ สพป.ลำปาง เขต 1 แล้ว หลังมีคำสั่งย้ายให้มาปฎิบัติหน้าที่ ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำปาง (สพป.) เขต 1 เมื่อวานนี้(12 ก.ค.) เพื่อให้กระบวนการสอบสวนเงื่อนงำการใช้เงินในโรงเรียนดังกล่าวเป็นไปตามขั้นตอน
ทั้งนี้ “MGR Online” ได้นำเสนอข่าวเงื่อนงำการใช้เงินของ ผอ.โรงเรียนดังในตัวเมืองลำปาง ซึ่งมีการยืนยันภายหลังว่า เป็น “โรงเรียนอนุบาลลำปาง” ที่นางสุรณี กัลยารัตนกุล หรือครูต้น ครูเกษียณ-อดีตเลขาส่วนตัวของ ผอ.ร.ร.อนุบาลลำปาง พร้อมเจ้าหนี้ ที่เป็นครูโรงเรียนเดียวกัน หอบหลักฐานออกมาร้องเรียน
เพื่อขอความช่วยเหลือ เนื่องจากต้องแบกรับหนี้ที่กู้มาตามคำสั่งของ ผอ.สูงกว่า 10 ล้านบาท ทั้งถูกเจ้าหนี้ตามทวงหนี้ และกำลังจะถูกฟ้อง ขณะที่เจ้าหนี้ ก็ยืนยันเช่นกันว่า เงินที่ให้ครูต้อย ยืมไปนั้น ทราบว่าครูต้อย นำไปให้ ผอ.จริง แต่ที่ผ่านมาได้ติดตามทวงถามทาง ผอ.แล้ว กลับบ่ายเบี่ยง และถูกต่อว่าตลอดมา จนสุดท้าย ผอ.ไม่ให้เข้าพบ จึงให้ครูต้อย ไปร้องต่อศูนย์ดำรงธรรม และ สพป.ลำปาง เขต 1 แต่เรื่องก็เงียบ
แต่เมื่อหมดหนทาง และด้วย ผอ.กำลังจะเกษียณอายุราชการในอีกไม่กี่เดือนที่จะถึงนี้ จึงต้องตัดสินใจนำเรื่องออกมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชนดังกล่าว
ซึ่งจากข้อมูลที่ครูต้อย และเจ้าหนี้ พบว่า นอกจากหนี้สินจากเจ้าหนี้ที่ครูต้อย ต้องไปหยิบยืมมาให้ ผอ.ใช้จ่ายแล้ว ผอ.ได้มีการตั้งสำนักงาน ผอ.ขึ้นมาโดยเฉพาะ และให้มีการเก็บเงินรายได้ในหลายส่วนโดยไม่ผ่านระบบของโรงเรียน
อาทิ รายได้จากค่าเทอมนักเรียนเตรียมอนุบาล , รายได้จากค่าเรียนพิเศษช่วงปิดภาคเรียนเดือนเมษายน และตุลาคม , รายได้จากโครงการฝากลูกไว้กับครู(ช่วงเย็น) , รายได้จากผู้จัดทำอาหารกลางวันเด็ก , รายได้จากการสอนพิเศษของครูตามความสมัครใจ , รายได้จากค่าเช่าพื้นที่ในโรงอาหาร ,รายได้จากค่าบริการสระว่ายน้ำของโรงเรียน เป็นต้น
โดยรายได้บางส่วนที่บันทึกไว้ระหว่างปี พ.ค.57- มี.ค.60 มีกว่า 21 ล้านบาท ขณะที่รายจ่ายในช่วงเวลาเดียวกันสูงกว่า 42 ล้านบาท
และจากการตรวจสอบข้อมูลทางบัญชีที่ครูต้อย บันทึกเป็นรายจ่ายตามคำสั่งของ ผอ.ในแต่ละวัน จะเห็นชัดเจนว่า รายจ่ายในแต่ละวัน เป็นรายจ่ายส่วนตัว-ครอบครัว และคนใกล้ชิด ผอ.ทั้งสิ้น มีตั้งแต่ค่าอาหาร ค่ากินลาบมื้อกลางวัน มื้อละถึง 3 พันบาท เสื้อผ้า แชมพู ค่าช่างก่อสร้างบ้าน ค่าใส่ซองงานต่างๆ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าซักผ้า ค่าผ่อนรถ ค่าจิปาถะ คงยกเว้นเพียงกางเกงชั้นในที่ไม่ได้ใช้เงินจาก สนง.ผอ.ซื้อ ซึ่งบางเดือนมียอดสูงกว่า 1 ล้านบาท
เมื่อเรื่องราวเงื่อนงำการใช้เงินของ ผอ.โรงเรียนดังกล่าว ถูกเผยแพร่ต่อสาธารณะ คนในวงการครูลำปาง ต่างตามสืบเสาะทรัพย์สินของ ผอ.คนดัง แล้วนำส่งให้ผู้สื่อข่าวกันอย่างคึกคัก ซึ่งก็พบว่า ผอ.คนดัง มีทรัพย์สินจำนวนมาก ทั้งบ้านหลังใหญ่ที่เหลืออยู่ 2 หลัง โดยหนึ่งในสอง ทำเป็นแบบรีสอร์ต มีบ้านพัก-โรงแรมม่านรูดด้วย มีรถยนต์มากถึง 6 คัน และแม้ว่าจะถูกฟ้อง และกรมบังคับคดี ตามยึดทรัพย์มาตังแต่ปี 50 แล้วก็ตาม แต่ทรัพย์สินทุกอย่างของ ผอ.ก็ยังมีจำนวนมากเหมือนเดิม
กระทั่ง 3 ก.ค.60 สพป.ลำปาง เขต 1 ได้ตั้งกรรมการขึ้นมาสืบสวนข้อเท็จจริง โดยได้เชิญครูต้อย และผู้เสียหายรายอื่นๆรวม 10 คน เข้าให้ถ้อยคำ พร้อมนำเอกสารหลักฐานต่างๆมอบให้กับกรรมการ แต่ ผอ.ก็ยังคงทำหน้าที่เหมือนเดิมแม้ว่า ครูต้อย จะพยายามส่งสัญญาณว่า ขอให้ ผอ.ยุติหน้าที่ก่อน เพื่อให้เกิดความยุติธรรม แต่ทาง สพป.ก็ปฎิเสธโดยอ้าว่าการร้องเรียนดังกล่าวยังเป็นเพียงการการสืบข้อเท็จจริงเท่านั้น
จากนั้นเพียง 2 วัน คือ วันที่ 5 ก.ค. ทาง สตง.ภาค 9 ลำปาง ได้เข้าสอบข้อเท็จจริงกับบุคลากรภายในโรงเรียนอนุบาลลำปาง และประสานให้ครูต้อย เข้าให้ถ้อยคำพร้อมนำเอกสารทั้งหมดส่งให้กับ สตง.อีกทางหนึ่ง
ต่อมา (11 ก.ค.) นายสมเกียรติ ปงจันตา รอง ผอ. รักษาราชการแทน ผอ.สพป.ลำปาง เขต 1 ระบุว่า การสืบสวนข้อเท็จจริงเสร็จสิ้นแล้ว และสรุปว่าข้อร้องเรียนดังกล่าวมีมูลจริง และได้รายงานให้คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ซึ่งมีผู้ว่าฯเป็นประธาน รับรองรายงาน เพื่อตั้งกรรมการสอบสวนวินัย ผอ.ต่อไป
และเย็นวันเดียวกัน พล.ท.โกศล ประทุมชาติ ที่ปรึกษา รมว.กระทรวงศึกษาธิการ ได้ออกมาเปิดเผยถึงรายงานการสรุปการสืบสวนข้อเท็จจริงว่า กรณีดังกล่าวมีมูลการทุจริตจริง โดยพบว่า ผอ.เข้ามาจัดการบริหารเงินโรงเรียนจาก 3 โครงการ คือ 1. โครงการฝากเด็กไว้กับครูตอนเย็น รายละ 500 บาท 2.โครงการจัดเรียนพิเศษช่วงเดือนตุลาคม รายละ 2 พันบาท และ เรียนพิเศษช่วงเดือนเมษายน รายละ 2,500 บาท ซึ่ง 2 โครงการนี้ไม่มีใบเสร็จ-ไม่ได้นำเข้าสถานศึกษาอย่างถูกต้อง
ส่วนโครงการที่ 3 คือ โครงการเตรียมอนุบาล ที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 57 เปิดสอนห้องปกติ 3-5 ห้อง เก็บค่าเรียนเทอมละ 2 หมื่นบาท และห้อง Mini English Program รายละ 4 หมื่นบาทต่อเทอม ซึ่งมีใบเสร็จที่ไม่ถูกต้อง
ดังนั้น สพป.ลำปาง เขต 1 จึงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง และสั่งย้าย นายประยูร เรียนปิงวัง ผอ.โรงเรียนอนุบาลลำปาง ไปปฏิบัติหน้าที่ สพป.ลำปาง เขต 1 เพื่อให้การสอบสวนเป็นไปตามขั้นตอน หากพบว่าผิดจริง จะมีโทษถึงขั้นปลดออก-ไล่ออกด้วย
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า ก่อนหน้านี้ เคยมีการร้องเรียน ผอ.คนดังกล่าวมาแล้วหลายครั้ง ทั้งในประเด็นครอบครัว และความร่ำรวยผิดปกติ แต่เรื่องก็เงียบหายเข้ากลับเมฆไปทั้งหมด
เช่น ระหว่างปี 2558-2559 ได้มีผู้ร้องเรียนไปยังศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดฯ แต่ก็มีความพยายามปิดข่าว ว่ากันว่า คราวนั้นมีการเชิงนักข่าว 3 สำนัก 3 คนเข้าพบ สอดคล้องกับข้อมูลที่ ครูต้อย บันทึกรายจ่ายไว้ว่า มีการสื่อสำนักข่าวหัวสี รับเงินไป 1,500 บาท ส่วนอีกสองคนเป็นนักข่าวหัวสี และท้องถิ่น รับไปคนละ 2,500 บาท ซึ่งครูต้อย ระบุด้วยว่า ทั้งสามคนเข้ามารับเงินหลายครั้ง และเข้ามา เมื่อทางโรงเรียนเริ่มมีเรื่องร้องเรียนเป็นส่วนใหญ่ จนคุ้นเคยกับตน และเจ้าหน้าที่ในสำนักงาน ผอ.จนสุดท้ายเรื่องก็เงียบไม่มีเรืองเล็ดลอดออกสู่สังคมภายนอก
และเรื่องร้องเรียนคราวนั้น สุดท้ายนิติกรชำนาญการพิเศษ..ก็ได้ชงเรื่องให้ ผอ.สพป.ลำปาง เขต 1 ในขณะนั้น “ยุติเรื่อง” ในวันที่ 25 มี.ค.60
ซึ่งห้วงเวลาดังกล่าว ดูเหมือนจะสอดคล้องอย่างบังเอิญกับบันทึกรายจ่ายสำนักงาน ผอ. ที่ “ครูต้อย” จดบันทึกไว้ละเอียดยิบว่า มีการจ่ายเงินจำนวน 1 หมื่นบาท เพื่อเรื่องดังกล่าว เมื่อ 31 มี.ค.60 หรือหลังจากเรื่องร้องเรียนยุติลงไม่ถึงสัปดาห์ด้วย