ลำปาง - อดีตเลขาฯ ส่วนตัว ผอ.ร.ร.ดังลำปางเปิดหน้าแฉชัด หลังกำลังกลายเป็นแพะต้องรับหน้าเป็นหนี้แทน ผอ.ยอดกว่า 10 ล้านบาท เผยที่ผ่านมา 4 ปีเงินรายได้ต่างๆ เข้ากระเป๋า “ผู้อำนวยการ” แบบไม่ผ่านระบบกว่า 42 ล้านบาท-สร้างบ้านหรู 3 หลังรวด ล่าสุด สพฐ.รับเรื่องตั้งกรรมการสอบแล้ว
นางสุรณี กัลยารัตนกุล หรือครูต้อย อดีตครูเกษียณราชการ และอดีตเลขานุการส่วนตัวของ ผอ.โรงเรียนดังในลำปาง พร้อมด้วยเจ้าหนี้ ซึ่งเป็นครู-อดีตครูที่ชิงลาออกก่อน ได้หอบเอกสารที่เกี่ยวข้องมาร้องขอความช่วยเหลือต่อสื่อมวลชน เพื่อให้ติดตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโรงเรียนดังกล่าว
หลังเข้าร้องเรียนที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดลำปาง และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำปาง เขต 1 ไปแล้ว แต่เรื่องยังไม่คืบหน้า ประกอบกับ ผอ.คนดังกล่าวกำลังจะเกษียณอายุราชการในอีกไม่กี่เดือนที่จะถึงนี้ ขณะที่ “ครูต้อย” กำลังได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักที่ต้องรับหน้าเป็นหนี้แทน ผอ.โรงเรียน ที่ไหว้วานให้ไปกู้ยืมเงินมาใช้กว่า 10 ล้านบาท สุดท้าย ผอ.เบี้ยวหน้าตาเฉย อ้างไม่เคยเซ็นเอกสารใดๆ ในการกู้ยืมเงิน
ครูต้อยเปิดเผยว่า เดิมตนเป็นครูที่โรงเรียนดังแห่งหนึ่งในตัวเมืองลำปาง หลังเกษียณก็ออกมาอยู่บ้าน แต่เมื่อปี 2557 ตนก็ได้รับการทาบทามให้กลับเข้าไปทำงานในส่วนของสำนักงานเลขานุการผู้อำนวยการโรงเรียน ซึ่งในส่วนสำนักงานเลขาฯ จะมีเจ้าหน้าที่รวม 4 คน ตนจะมีหน้าที่ดูแล ผอ. ทำตามที่ ผอ.สั่ง ดูแลครอบครัว ผอ. รวมทั้งเป็นผู้เก็บเงินต่างๆ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว ผอ. และจ่ายเมื่อ ผอ.สั่งจ่าย
ครูต้อยบอกว่า ส่วนใหญ่ ผอ.จะสั่งด้วยวาจา โน้ตสั่งบ้าง เช่น วันนี้ต้องการเงินสดเท่าไหร่ ตนก็จะเตรียมไว้ให้, วันนี้ให้ไปจ่ายค่ารถ ซึ่งมีถึง 5 คัน ฯลฯ โดยจะมีการจ่ายเงินหลักๆ คือ ทุกวันศุกร์ต้องเตรียมเงินไว้ให้ ผอ. 1 หมื่นบาท, ทุกวันที่ 1 และ 16 ต้องเตรียมเงินเพื่อเป็นค่าแรงงานคนงานก่อสร้างบ้านส่วนตัวครั้งละกว่า 7 หมื่นบาท หากไม่มี ผอ.จะให้ตนไปยืมเงินครูในโรงเรียน และคนที่ตนรู้จัก เมื่อเงินเข้ามาก็นำไปคืน ซึ่งทุกคนก็เชื่อใจให้กู้ยืมมาตลอด
สุดท้าย ผอ.ใช้เงินมากเกินไปจนรายได้ที่เข้ามาไม่พอรายจ่าย ตนต้องขายทรัพย์สินส่วนตัวหมดไป 3 ล้านกว่าบาท และต้องถูกเจ้าหนี้ตามทวงหนี้ ทั้งยังจะถูกฟ้อง แต่เมื่อนำเรื่องไปบอก ผอ.เพื่อให้หาทางออกก็จะถูกต่อว่า และบ่ายเบี่ยงทุกครั้ง ซึ่งตนเครียดมากจึงตัดสินใจนำเรื่องบอกกับลูกสาว
โดยรายได้ที่เข้ามายังสำนักงานเลขาฯ ได้มาจากค่าเรียนพิเศษช่วงปิดเทอมของนักเรียนชั้นเตรียมอนุบาล ในเดือนเมษายน และเดือนตุลาคม, โครงการฝากลูกไว้กับครู(สอนพิเศษช่วงเย็น) ได้มาจากส่วนแบ่งค่าจัดทำอาหารกลางวันเด็ก, การสอนพิเศษของครูตามความสมัครใจ, ค่าเช่าพื้นที่ในโรงอาหาร, ค่าใช้บริการสระว่ายน้ำของโรงเรียน
“ดิฉันเริ่มบันทึกไว้ตั้งแต่ พ.ค. 57-มี.ค. 60 มียอดรับเข้ามาที่บันทึกไว้ยังสำนักงานผู้อำนวยการบางส่วน 21,730,355 บาท เมื่อผู้ปกครองนำเงินมาชำระทางสำนักงานเลขาฯ ก็จะออกเพียงใบเสร็จรับเงินทั่วไปที่เขียนรายการ หรือบางครั้งก็จะประทับตราโรงเรียนบนใบเสร็จให้เท่านั้น ส่วนก่อนหน้านี้ตั้งแต่ชั้นเตรียมอนุบาลได้รับอนุญาตให้เปิดปี 2553 ตนไม่ได้บันทึก ซึ่งก็มียอดอีกจำนวนมาก และเงินส่วนนี้ไม่ได้เข้าในระบบโรงเรียนแม้แต่บาทเดียว”
เมื่อเงินเข้ามาที่ สนง.เลขาฯ ผอ.จะเป็นคนสั่งจ่ายเงินส่วนตัวทั้งหมด ซึ่งในห้วงดังกล่าวเงินเข้ามา 21,730,355 บาท ขณะที่รายจ่ายที่จ่ายออกไปให้กับ ผอ.มียอดถึง 42,385,536,41 บาท
ขณะที่ลูกสาวของครูต้อยได้กล่าวด้วยน้ำตาว่า ก่อนหน้านั้นตนไม่ได้อยู่กับแม่ เพิ่งย้ายมาอยู่ด้วยประมาณ 4-5 ปีนี้เอง และไม่เคยรู้เรื่องราวต่างๆ ของแม่เลย แต่ระยะหลังตนเห็นแม่เปลี่ยนไป แม่เครียด จนสุดท้ายแม่ได้เล่าเรื่องให้ตนฟัง เพราะเจ้าหนี้มาตามแม่ตลอด และถึงขั้นจะฟ้องร้องแล้ว
ซึ่งตนก็รู้สึกช็อกกับเรื่องที่เกิดขึ้นมาก พยายามหาข้อมูลต่างๆ ให้ได้มากที่สุด ล่าสุดได้พยายามติดต่อ ผอ.แต่ก็ไม่รับสาย จึงไปพบทนายความ และให้ภรรยาของ ผอ.ไปเซ็นรับสภาพหนี้กับเจ้าหนี้ โดยตอนแรกภรรยา ผอ.ยินดีที่จะทยอยชำระให้เจ้าหนี้เดือนละ 150,000 บาท แต่หลังจากนั้นก็ไม่ยอมจ่ายเลย ตนจึงร้องเรียนไปยังศูนย์ดำรงธรรม และเขตฯ แต่ดูเหมือนเรื่องจะไม่คืบหน้า ขณะที่ ผอ.เองก็กำลังจะเกษียณ ตนเกรงว่าเมื่อเกษียณไปแล้วจะยิ่งตามตัวยาก และสุดท้ายแม่ก็จะต้องกลายเป็นแพะ รับสภาพหนี้ซึ่งไม่ได้ก่อกว่า 10 ล้านบาทแทน จึงต้องรวบรวมเอกสารทั้งหมดร้องขอความเป็นธรรมต่อสื่อ เพื่อขอความช่วยเหลือดังกล่าวเพราะแม่เดือดร้อนมากจริงๆ
ขณะที่เจ้าหนี้ 2 ราย ซึ่งเป็นครูในโรงเรียนดังกล่าว และเป็นอดีตครู (ขอสงวนชื่อ) รายแรกให้ครูต้อยยืมเงินเพื่อนำไปให้ ผอ.คนดังกล่าวเป็นจำนวนกว่า 900,000 บาท บอกว่า ทราบว่าครูต้อยเอาเงินไปทำอะไร เพราะบางครั้ง ผอ.จะให้คนขับรถมารอรับเงินเอง
ส่วนเจ้าหนี้รายที่ 2 ซึ่งเป็นอดีตครูโรงเรียนเดียวกัน ระบุว่า ตนให้เงินครูต้อยยืมไปให้ ผอ.กว่า 1 ล้านบาท ที่ผ่านมาก็เคยถาม ผอ.เหมือนเจ้าหนี้รายแรก แต่ก็ถูก ผอ.ตะคอก และไม่ให้เข้าพบ ไม่รับโทรศัพท์อีก ตนก็เลยต้องมาให้ครูต้อยติดตามทั้งๆ ที่รู้ว่าครูต้อยไม่ได้ยืมเงินไปใช้ส่วนตัวแม้แต่บาทเดียวก็ตาม
นอกจากนี้ ครูต้อย และเจ้าหนี้รายอื่นที่ไม่กล้าเปิดเผยตัวเองระบุอีกว่า ยังมีอีกหลายรายที่ไปกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินมาให้ ผอ.ยืม แต่สุดท้ายขณะนี้ต้องถูกเจ้าหนี้ตาม ธนาคารตามเพราะไม่ชำระหนี้ ร้านค้าหลายแห่งตามทวงเงินกับพนักงานขับรถ และคนใกล้ชิด ผอ.เพราะเป็นคนไปเซ็นรับของแทน ผอ.แต่ไม่ยอมชำระเงิน
ด้านนายสมเกียรติ ปงจันตา รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำปาง เขต 1 รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำปาง เขต 1 เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น ได้ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์เนื่องจากติดราชการที่ต่างจังหวัดว่า ทางเขตฯ ได้รับเรื่องร้องเรียนที่เกิดขึ้นแล้ว และขณะนี้ได้มีการตั้งกรรมการขึ้นมาสอบสวนเรื่องนี้แล้ว แต่ต้องใช้เวลา เพราะต้องสอบกันหลายฝ่าย หลายเรื่อง
เมื่อถามว่า การสอบสวนจะยาวนานจน ผอ.ท่านนี้เกษียณอายุราชการหรือไม่ นายสมเกียรติกล่าวว่า ไม่ถึงขนาดนั้น น่าจะเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ ส่วนจะมีปัญหาอะไรหรือไม่นั้นตนไม่ทราบ เพราะได้แต่งตั้งกรรการไปดำเนินการแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ตามระเบียบแล้ว เงินที่เป็นรายได้เข้าโรงเรียนทุกแห่งจะต้องเข้าระบบ และเบิกจ่ายตามระเบียบหรือไม่ นายสมเกียรติย้ำว่า เงินทุกบาทที่เป็นรายได้เข้ามาโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นเงินกฐิน ผ้าป่า หรือค่าต่างๆ ที่โรงเรียนได้รับจะต้องเข้าตามระบบ และเบิกใช้จ่ายตามระบบทั้งหมด ซึ่งก็จะมีระเบียบปฏิบัติอยู่
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า หากทางโรงเรียนได้รับเงินเข้าโรงเรียนแต่ไม่นำเข้าระบบจะมีความผิดอย่างไร นายสมเกียรติกล่าวว่า เรื่องนี้ต้องดูเป็นกรณีไป
ส่วน ผอ.คนดังผู้สื่อข่าวพยายามโทรศัพท์ติดต่อแต่ก็ไม่ยอมรับสาย ซึ่งทราบว่าปัจจุบัน ผอ.คนดังกล่าวมีรถใช้ทั้งส่วนตัวและคนในครอบครัวถึง 5 คัน บ้าน 3 หลังที่อลังการเป็นอย่างมาก และเพิ่งทำบุญขึ้นบ้านใหม่ไปแบบติดๆ กันเมื่อปลายปี 59-ต้นปี 60 ซึ่งหนึ่งในสามหลังเป็นการสร้างบ้าน พร้อมรีสอร์ต โรงแรมม่านรูดอีกด้วย