ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - มีกระแสทวงถามกันมากขึ้นกับค่าตอบแทนการเป็นพยาน ระบุมีอยู่ในระเบียบของกระทรวงยุติธรรม เผยอาจไม่มีคนรู้มากนักหรือถ้ารู้อาจไม่ต้องการเพราะมูลค่าน้อยนิด ติงหากไม่มีคนรับแล้วเงินส่วนนี้จะตกอยู่ที่ใคร
รายงานข่าวแจ้งว่า ได้มีผู้ที่ถูกพนักงานสอบสวนในสถานีตำรวจภูธรแห่งหนึ่งนำหลักฐานเป็นระเบียบกระทรวงยุติธรรมว่าด้วยค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายแก่พยาน สามี ภริยา บุพการี ผู้สืบสันดานของพยานหรือบุคคลอื่นที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพยานในคดีอาญาปี 2547 และ พ.ร.บ.คุ้มครองพยานในคดีอาญาปี 2546 แจ้งแก่ผู้สื่อข่าวว่า ได้เคยถูกเรียกไปเป็นพยานในคดีฟ้องร้องระหว่างเอกชนจำหน่ายสินค้ารายหนึ่งกับบุคคล 1 คน ข้อหายักยอกทรัพย์ เกิดเหตุตั้งแต่กลางปี 2559 ที่ผ่านมาและคดีเพิ่งสิ้นสุดในเดือน พ.ค. 2560 หรือรวมระยะเวลา 1 ปี แต่ปรากฏว่าหลังสิ้นสุดคดีพยานอ้างว่ายังไม่ได้รับเงินค่าตอบแทนตามกฎหมายดังกล่าวแต่อย่างใด
โดยพยานรายดังกล่าวระบุว่า ตามปกติไม่เคยเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแม้แต่ฟ้องร้องหรือเป็นผู้เสียหายรวมถึงไปเป็นพยานในคดีใดๆ มากนัก กระทั่งบริษัทที่ทำงานอยู่ได้ไปส่งสินค้าให้แก่ลูกค้ามูลค่าประมาณ 500,000 บาท แต่ปรากฏว่าเกิดความผิดพลาดในระบบจึงมีการส่งสินค้าไปให้ลูกค้าซ้ำ
เมื่อตรวจพบทางพนักงานของบริษัทจึงไปทวงสินค้าคืนแต่ปรากฏว่าผู้รับสินค้าซ้ำกลับไม่คืนและยังพูดท้าทายให้ไปฟ้องร้องเอาเอง จึงเป็นที่มาของการฟ้องร้องกันขึ้นและเมื่อเรื่องถึงขั้นพนักงานสอบสวนได้มีการเรียกสอบปากคำฝ่ายผู้ฟ้องและผู้ถูกฟ้อง รวมทั้งเรียกพยานที่เกี่ยวข้องประมาณ 4-5 คนไปให้ปากคำรวมถึงตนด้วย
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ช่วงที่เป็นพยานก็ได้ศึกษาข้อมูลโดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวข้องว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง ซึ่งก็ได้พบระเบียบกระทรวงยุติธรรมและ พ.ร.บ.คุ้มครองพยานฯ ดังกล่าว พบว่ากรณีเป็นพยานอยู่ในพื้นที่จังหวัดเดียวกันกับสถานีตำรวจที่เป็นเจ้าของคดีจะได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินจำนวน 200 บาท และหากเป็นต่างจังหวัดจะได้รับจำนวน 500 บาท โดยมีกระบวนการเบิกจ่ายตามขั้นตอนของกฎหมาย
แต่ปรากฏว่าหลังคดีสิ้นสุดโดยทางอัยการไม่สั่งฟ้องไปเมื่อเร็วๆ นี้ ตนก็ได้ไปสอบถามพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีก็ได้รับคำตอบเพียงว่าจะจัดการให้ จนกระทั่งปัจจุบันยังไม่มีคำตอบใดๆ เลย
แหล่งข่าวที่เป็นพยานกล่าวอีกว่า จริงๆ แล้วไม่ได้หวังจะได้รับเงินค่าตอบแทนนี้เลยเพราะมูลค่าไม่ได้มากมายอะไร และตามกระบวนการยุติธรรมแล้วก็เป็นหน้าที่เราอยู่แล้ว แต่เมื่อมีกฎหมายนี้และเมื่อสอบถามคนอื่นๆ ที่เคยเป็นพยานต่างก็ไม่เคยได้รับกัน
ดั้งนั้นจึงคิดว่าหากคำนวณดูจากคดีความต่างๆ ทั่วประเทศซึ่งย่อมมีพยานจำนวนมากแล้วอาจจะมีมูลค่าเงินเกี่ยวกับค่าตอบแทนพยานมูลค่ามหาศาล จึงสงสัยว่าหากมีการเบิกจ่ายเงินนี้ได้จริงแต่พยานไม่ได้รับแล้วใครเป็นผู้ที่ได้ครอบครองเงินดังกล่าว
จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ช่วยตรวจสอบเพื่อให้เกิดประโยชน์ความโปร่งใสเรื่องงบประมาณดังกล่าว และเพื่อรักษาสิทธิของผู้เป็นพยานในคดีความทั่วประเทศด้วย
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า อย่างไรก็ตาม ตามมาตรา 17 ของ พ.ร.บ.คุ้มครองพยานฯ ดังกล่าวระบุเอาไว้ให้ประชาชนทั่วไปอาจต้องตีความเช่นกันว่ากรณีที่พยานโจทก์ในคดีความผิดส่วนตัวซึ่งผู้เสียหายเป็นโจทก์หรือเป็นพยานจำเลยซึ่งผู้เสียหายเป็นโจทก์ หรือเป็นพยานจำเลยให้อยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะมีคำสั่งให้มีการเบิกจ่ายค่าตอบแทนดังกล่าว แต่ไม่เกินอัตราตามระเบียบที่กระทรวงยุติธรรมกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง