ลำปาง - สาว อบจ.ลำปางโผล่ซ้ำ คราวนี้ยืนถือป้ายประท้วงหน้าธนาคารกรุงไทย ลำปาง วอนขอแบงก์ออกมารับผิดชอบ ยืนยันคำเดิมโดนปลอมลายเซ็นขอสินเชื่อ ขณะที่ผู้บริหารแบงก์ระดับเขตบอกรอฟังการวินิจฉัยของอัยการเท่านั้น แต่ยืนยันธนาคารมีหลักฐานครบ
วันนี้ (30 ส.ค.) น.ส.วรณัน ณ ลำพูน อายุ 32 ปี บ้านเลขที่ 244 ม.6 ต.สันพระเนตร อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ลูกจ้างชั่วคราว อบจ.ลำปาง ที่เคยออกมานั่งขอบริจาคเงินจากผู้ใจบุญบริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดลำปาง เพื่อสู้คดีถูกธนาคารฟ้องยึดบ้านพ่อแม่ จากหนี้บัตรเครดิต-สินเชื่อส่วนบุคคล ที่เธอยืนยันว่าไม่ได้เป็นผู้ก่อหนี้ (http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9590000084474) ได้ออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมอีกครั้ง
โดยได้นำป้ายเขียนข้อความว่า “ออกมารับผิดชอบที ลายเซ็นนี้ ไม่ใช่ของฉัน” พร้อมสำเนาเอกสารที่มีการเซ็นชื่ออนุมัติสินเชื่อส่วนบุคคลแนบด้วย มายืนประท้วงอยู่หน้าธนาคารกรุงไทย สาขาลำปาง และสำนักงานเขตลำปาง ถนนบุญวาทย์ จังหวัดลำปาง นานเกือบครึ่งชั่วโมง ก่อนที่จะยุติ และเดินทางไปติดตามความคืบหน้าของคดีที่สำนักงานอัยการจังหวัดลำปาง
น.ส.วรณันยังคงยืนยันตามเดิมว่า เหตุที่เกิดขึ้นเพราะจุดจุดนี้คือมีการปลอมลายเซ็นของตนในการอนุมัติบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งในส่วนที่ธนาคารมีการโอนเงินเข้าบัญชี 10,000 บาท ขณะนั้นตนไม่รู้ว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นส่วนไหน เนื่องจากเปิดบัญชีออมทรัพย์ไว้กับทางธนาคารเพื่อให้หน่วยงานโอนเงินเดือนและโอทีต่างๆ เข้าจึงนำไปใช้ กระทั่งทราบภายหลังตนก็ยอมชำระในส่วนที่ตนใช้ไป
“แต่หนี้ส่วนที่มากกว่านั้นดิฉันไม่ทราบว่ายอดหนี้มาจากไหน ดิฉันไม่สามารถชำระได้ ซึ่งขณะนี้ได้ขายทรัพย์สินไปจนหมด เหลือเพียงบ้านของพ่อแม่เท่านั้น จึงต้องการขอความช่วยเหลือ”
แต่หลังจากฟ้องคดีไปกว่า 1 ปี ขณะนี้คดีก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ซึ่งตนเดือดร้อนมาก กระทบทุกอย่างทั้งหน้าที่การงาน ครอบครัว พ่อแม่ก็ต้องมาทุกข์ร้อนไปด้วย แต่ทางธนาคารฯ ก็ยังไม่เคยออกมาแสดงความรับผิดชอบใดๆ และไม่เคยติดต่อตนเลย
จากนั้น น.ส.วรณันได้เดินทางไปติดตามความคืบหน้าของคดี ณ สำนักงานอัยการจังหวัดลำปาง ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ยืนยันว่าขณะนี้เรื่องอยู่ที่อัยการภาค 5 ทางอัยการลำปางเป็นเพียงตัวกลางในการขอพยานหลักฐานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเพิ่มเท่านั้น ซึ่งก็ยังรอพยานหลักฐานอีกบางส่วนจากตำรวจภูธรเมืองลำปางที่ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ
น.ส.วรณันระบุกับผู้สื่อข่าวว่า ตนตามทุกที่แล้วก็ยังไม่คืบหน้าจนกลัวว่าจะหมดอายุความเสียก่อน ซึ่งมาถึงจุดนี้ก็จะไม่ตามเรื่องแล้ว แต่จะรวบรวมหลักฐานทั้งหมดที่มี ณ เวลานี้ส่งให้กับทางสำนักราชเลขาฯ เพื่อขอความช่วยเหลือเป็นหนทางสุดท้าย
“ตอนนี้ดิฉันก็ต้องต่อสู้ทางคดีที่ธนาคารฟ้องอีก ซึ่งก็ต้องมีค่าใช้จ่าย แต่ก็ไม่มีเงินเลย ก่อนหน้านี้ก็ขอให้ทางหน่วยงานช่วยเหลือก็ไม่ได้รับความช่วยเหลือ ก็เลยไปนั่งขอทานเพื่อจะนำเงินมาสู้คดีร่วมแสนบาท แต่ดิฉันก็ต้องทำงานเพราะเกรงจะถูกไล่ออกจึงทำไม่ได้อีก”
ขณะที่แหล่งข่าวซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงของธนาคารฯ สำนักงานเขตลำปาง (ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพหรือบันทึกใดๆ) ระบุว่า หลักฐานต่างๆ ทางบริษัทบัตรเครดิตก็ได้ส่งให้ทางอัยการไปทั้งหมดแล้ว ซึ่งทางบริษัทยืนยันว่ามีหลักฐานครบถ้วน ขณะนี้ต้องรอฟังคำวินิจฉัยของอัยการภาค 5
แต่ทั้งนี้ธนาคารยืนยัน ว่าบริษัทบัตรเครดิตจะไม่มีการปล่อยบัตรแน่นอนหากไม่ใช่ลายเซ็นของลูกค้าจริง และในส่วนของเจ้าหน้าที่ธนาคารที่ตกเป็นจำเลยทาง ธนาคารฯ เองก็ได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนด้วยเช่นกันซึ่งเจ้าตัวก็ยืนยันว่าไม่ได้กระทำดังกล่าว และเมื่อเทียบเงินเดือนของเจ้าหน้าที่กับจำนวนเงินของบัตรเครดิตที่ถูกใช้ไปแล้วถือว่าน้อยมาก
“ทางบริษัทฯ ยืนยันว่าลูกค้าได้ขอบัตรเครดิตจริง และได้รับบัตรจริง ซึ่งมีหลักฐานเป็นใบทะเบียนตอบรับ และมียอดการใช้เงินสองส่วน คือ บัตรเครดิต ซึ่งใช้ซื้อรูดสินค้า และบัตรเงินสดพร้อมใช้ โดยทางบริษัทฯ ได้อนุมัติบัตรละ 35,000 บาท ซึ่งลูกค้ามีการใช้เงินไปจริง และทางบริษัทมีการฟ้องไปแล้ว และให้ลูกค้าผ่อนชำระ ส่วนกรณีที่ลูกค้าฟ้องเจ้าหน้าที่ว่าปลอมลายเซ็นนั้นก็ขอให้รอการวินิจฉัยของอัยการก่อน”