เชียงใหม่ - ตามพิสูจน์อาศรมดังเชียงใหม่ตระหง่านบน “สันป่าเฮ่วอีป้อ” พบศิษยานุศิษย์หลากเชื้อชาติ ศาสนาแห่ร่วมปฏิบัติ-สนทนาธรรมไม่ขาดสาย แต่ล่าสุดร่วมระดมทุนทรัพย์หล่อรูปเหมือนองค์เทพ จ้างช่างดังเมืองกรุงประดับตกแต่ง หวังประดิษฐานไว้ให้คนสักการบูชาคู่โลก สุดท้ายกลับได้งานสุดห่วย
วันนี้ (4 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริเวณสันป่าเฮ่วอีป้อ (ป่าช้าอีป้อ) ซึ่งเป็นสันเขาเล็กๆ ลูกหนึ่งเขตหมู่ 6 ต.ดอยแก้ว อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ “อาศรมพรหมธาดาพุทธาสถาน-สำนักปฏิบัติธรรม” ตามสายพระพุทธศาสนาแบบโบราณล้านนาไทย ที่ถือกำเนิดมาตั้งแต่ 1 เม.ย. 47 ตรงกับเดือนเจ็ดเหนือ ปัจจุบันกำลังกลายเป็นแหล่งรวมศิษยานุศิษย์หลากเชื้อชาติ และศาสนาอย่างน่าอัศจรรย์
ในอาศรมฯ แห่งนี้นอกจากจะมีครูบาเจ้าตรัยเทพ จันทวัณโณ ที่ศรัทธาชาวบ้านนิมนต์จากอารามห้วยบง ต.ดอยหล่อ กิ่ง อ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ มาดูแลอยู่แล้ว ยังมีพระสงฆ์จำวัดอยู่ 20 รูป ตลอดจนโยคี-โยคินี อีกกว่า 30 ชีวิต รวมทั้งศิษยานุศิษย์ที่นับถือศาสนาคริสต์ หลักความเชื่อแบบจีน จากหลายประเทศทั่วโลก ทั้งอินเดีย เยอรมนี สิงคโปร์ ฯลฯ หมุนเวียนเดินทางมาปฏิบัติธรรมกันเป็นประจำ
“อาศรมพรหมธาดาพุทธาสถาน” นอกจากจะมีเจดีย์รูปทรงศิลปะแบบเนปาล ขนาดเท่ากันกับพระมหาธาตุเจดีย์ที่ประเทศเนปาล เป็น 1 ใน 5 องค์ของโลก และเป็นเพียงหนึ่งเดียวในประเทศไทยเท่านั้นที่มีขนาดใหญ่ และรูปทรงแบบนี้ โดยด้านบนในแต่ละด้านของเจดีย์จะมีรูปดวงตา หรือที่เรียกว่า Buddha eyes แล้ว
ในระยะที่ผ่านมาศิษยานุศิษย์แต่ละศาสนา แต่ละความเชื่อ ต่างร่วมกันหล่อ ร่วมกันสร้างองค์เทพต่างๆ ตามคำบอกของ “ครูบาเจ้าตรัยเทพ จันทวัณโณ” ที่สอนสั่ง สนทนาปริศนาธรรมตามหลักทุกศาสนา เพราะถือว่า “ทุกศาสนาคือครูของโลก ไม่มีการแบ่งแยก”
ล่าสุดครูบาเจ้าตรัยเทพ จันทวัณโณ ได้ให้ศิษยานุศิษย์ว่าจ้างช่างโรงหล่อดังจากกรุงเทพฯ สร้างรูปหล่อองค์เทพต่างๆ ตามหลักความเชื่อทั้งแบบจีน-อินเดีย ทั้งพระโพธิสัตว์, พระอมิตาภ, พระอวโรกิเตศวร, พระพิฆเนศ ฯลฯ เพื่อสักการบูชาตามแนวทางความเชื่อ
แต่เมื่อนายธีรเสฏฐ์ ธีรสิทธานาถ อายุ 45 ปี ตัวแทนคณะศรัทธา พร้อมด้วยนายณภัทร ธรรมนิยา อายุ 46 ปี อาจารย์ประจำภาควิชาปฏิมากรรม คณะจิตรกรรม มหาวิทยาศิลปากร เข้าตรวจสอบเทวรูป-รูปหล่อองค์เทพต่างๆ ภายในอาศรมที่เพิ่งสร้างเสร็จไม่นาน กลับพบว่าเกิดการแตกร้าว หลุดร่วงให้เห็นอย่างชัดเจนหลายองค์
นายธีรเสฏฐ์กล่าวว่า ทางอาศรมฯ ตั้งใจก่อสร้างองค์รูปเหมือนเทพต่างๆ ให้อยู่คู่โลก ให้คนกราบไหว้บูชา ซึ่งศิษยานุศิษย์ก็ได้ร่วมกันบริจาค ระดมทุน ก่อนที่พระอาจารย์จะไปว่าจ้างโรงหล่อจัดสร้างขึ้นมา โดยทุกองค์หล่อจากทองเหลือง จากนั้นได้ติดต่อว่าจ้างช่างดังในกรุงเทพฯ ประดับตกแต่ง รวมทั้งหมด 4 สัญญา
เดิมทีทางศิษยานุศิษย์ได้รวบรวมทุนทรัพย์กัน โดยทางอาจารย์ไปจ้างร้านแห่งหนึ่งจัดสร้างขึ้นมา โดยทุกองค์หล่อจากทองเหลืองแค่ให้ร้านนี้ประดับตกแต่ง
แต่สิ่งที่ได้เรากลับพบว่า “มีการตกแต่งแบบเหนือความคาดฝัน”
นายธีรเสฏฐ์กล่าวว่า คือชิ้นงานเราทำมาจากทองเหลือง แต่มีการนำวัสดุอีพอกซีมาปะ-มาติด จนบางส่วนแตกแล้ว บางส่วนก็ไม่เสร็จ เก็บสีไม่ดี สีเลอะ ใช้พลอยปลอม ใช้สีทองวิทยาศาสตร์ ทั้งที่ได้ตกลงในสัญญาไปแล้วว่า ใช้ทองจริง พลอยจริง อย่างน้อยสุดใช้พลอยหุง ซึ่งเกรดต่ำ เพราะความตั้งใจของลูกศิษย์คือ องค์เทพอยู่คู่ประเทศ คู่โลกเพื่อให้คนมากราบไหว้บูชา แต่วัสดุที่มาใช้นั้นไม่มีคุณภาพ
“เห็นได้ชัดคือ ลูกประคำ ที่มาแบบบิดเบี้ยว ขนาดไม่เท่ากัน เอามาเรียงต่อเหมือนถั่วขาว ถั่วลันเตา”
นายณภัทร ธรรมนิยา อายุ 46 ปี อาจารย์ประจำภาควิชาปฏิมากรรม คณะจิตรกรรม มหาวิทยาศิลปากร เปิดเผยว่า ทางอาศรมฯ ตั้งใจทำองค์เทวรูปขึ้นมาเพื่อให้อยู่ยืนยาวนานเป็นร้อยๆ ปี แต่ปัญหาที่พบคือ การใช้วัสดุไม่สอดคล้องกัน
นายณภัทรกล่าวว่า การใช้อีพอกซีมาปั้น จริงๆ แล้วอาจทำได้ในการเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แต่ไม่ควรทำเป็นลาย เพราะอุณหภูมิอากาศบ้านเราเป็นร้อนชื้น ทำให้เกิดการหดตัว-ขยายตัว อีพอกซีเป็นพลาสติก องค์เทวรูปเป็นทองเหลือง ก็จะติดอยู่ได้ไม่นานต้องหลุดร่อนออกมา
ส่วนที่สองคือเรื่องตัววัสดุของสี คุณภาพของสี ซึ่งมีสีร่อนออกมา แสดงว่าใช้สีราคาถูก หรือไม่มีคุณภาพ ก็ไม่แน่ใจได้ ดูไกลๆ ว่างานเสร็จแล้ว พอมาดูใกล้งานไม่เสร็จเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ตนยืนยันได้เลย
“น่าเสียดาย บางชิ้นเป็นทองวิทยาศาสตร์ที่เขาใช้กับศาลพระภูมิ ซึ่งอีกหน่อยก็ซีดจางไป กรณีแบบนี้อยู่ที่ผู้รับจ้างว่าเขาคิดอย่างไรกับงานศิลปะ อย่างผมถ้าตั้งเกณฑ์ความงามแล้วสั่งงานลูกศิษย์ ถ้าลูกศิษย์นักศึกษาฟังระเบียบไปแล้วทำงานมาส่งผมแบบนี้ ผมก็ตัดสินใจได้เลยว่างานยังไม่เสร็จ”
