กาญจนบุรี - ศาลฎีกามีคำพิพากษาคดีสารตะกั่วปนเปื้อนลงในลำห้วยคลิตี้ จังหวัดกาญจนบุรี สั่งให้บริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศไทย) จำกัด จำเลยที่ 1 พร้อมพวก ชดใช้ชาวกะเหรี่ยงเหยื่อสารตะกั่วกว่า 20 ล้านบาท หลังสู้คดีมายาวนานกว่า 18 ปี
เมื่อเวลา 09.00 น. วันนี้ (14 ก.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดีบัลลังก์ 6 ศาลจังหวัดกาญจนบุรี นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา (แผนกคดีสิ่งแวดล้อม) คดีแพ่งหมายเลขดำ ที่ 106/2546 หมายเลขแดง ที่ 1565/2549 ระหว่างนายกำธร ศรีสุวรรณมาลา ที่ 1 กับพวกรวม 8 คนเป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศไทย) จำกัด จำเลยที่ 1 และนายคงศักดิ์ กลีบบัว จำเลยที่ 2 รวม 2 คน โดยฝ่ายโจทก์ มีว่าที่ ร.ต.สมชาย อามีน กรรมการสิ่งแวดล้อม ทนายความผู้ช่วยเหลือคดีจากสภาทนายความ นายสุรพงษ์ กองจันทึก ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนา สภาทนายความ และกลุ่มอนุรักษ์กาญจน์ นำโดย นางภินันท์ โชติรสเศรณี นายบุญส่ง จันทร์ส่งรัศมี ส่วนฝ่ายจำเลยได้ส่งทนายความเข้าร่วมรับฟัง โดยศาลจังหวัดกาญจนบุรีใช้เวลาในการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกานานกว่า 2 ชั่งโมง จึงแล้วเสร็จ
โดย นายสุรพงษ์ กองจันทึก ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนา สภาทนายความ เปิดเผยภายหลังว่า วันนี้ศาลจังหวัดกาญจนบุรี นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา (แผนกคดีสิ่งแวดล้อม) โดยศาลเห็นว่าการเจ็บป่วยของชาวบ้านทั้งหมดซึ่งมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสารตะกั่วมายืนยัน โดยศาลเห็นว่า ผู้เจ็บป่วยเกิดจากการกระทำของผู้ก่อให้เกิด คือ บริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศไทย) จำกัด และจำเลยที่ 2 คือ กรรมการผู้จัดการบริษัทที่เป็นผู้ควบคุมสารตะกั่ว และศาลยังเห็นว่าจำเลยมีเจตนาที่จะปล่อยสารตะกั่วปนเปื้อนลงในลำห้วยคลิตี้ ในตำบลชะแล อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี
“นอกจากจำเลยจะต้องฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ให้กลับมาใช้ได้ดังเดิมแล้ว จะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ชาวบ้านทั้ง 8 ราย ทั้งค่าไม่สามารถใช้ชีวิตได้ ค่าเจ็บป่วย รวมทั้งค่ารักษาในอนาคตด้วย เป็นเงิน จำนวน 20,200,000 บาท” นายสุรพงษ์ กล่าว
ด้าน ว่าที่ ร.ต.สมชาย อามีน กรรมการสิ่งแวดล้อม ทนายความผู้ช่วยเหลือคดีจากสภาทนายความเปิดเผยว่า การอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา (แผนกคดีสิ่งแวดล้อม) ในวันนี้ ภาพรวมแล้วถือว่าดีมาก เพียงแคศาลไม่ให้จ่ายค่าชดใช้เรื่องของควายที่ตายไป คงให้ชดใช้เฉพาะเรื่องของความเจ็บป่วยของชาวบ้านทั้ง 8 ราย ซึ่งค่าชดใช้นั้นลดลงกว่าการที่ศาลกว่าที่ศาลอุทธรณ์เคยตัดสิน แต่ภาพรวมถือว่าดีมาก
ส่วนการที่จำเลยที่ 1 เป็นบุคคลล้มละลายนั้นคงไม่มีปัญหามากนัก เนื่องจากคนที่ตกเป็นเจ้าหนี้ ก็มายื่นขอให้ชำระหนี้ในคดีล้มละลายของจำเลยที่หนึ่ง ซึ่งโอกาสที่จะเป็นไปได้ว่าในการยึดทรัพย์ของจำเลยที่หนึ่งค่อนข้างจะยากเพราะว่าการที่จำเลยล้มละลายแสดงให้เห็นว่าเขามีหนี้สินล้นพ้นอยู่แล้ว เราจึงมีสิทธิทำได้เพียงแค่ให้บังคับใช้หนี้ในคดีล้มละลายได้เพื่อที่จะเอามาเฉลี่ยทรัพย์
ดังนั้น คดีนี้จำเป็นจะต้องพุ่งเป้าไปที่จำเลยที่ 2 คือ นายคงศักดิ์ กลีบบัว ถึงแม่นายคงศักดิ์ จะเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม แต่ว่า นายคงศักดิ์ น่าจะมีทรัพย์มรดกของเขาอยู่ จึงทำให้สามารถติดตามไปยึดทรัพย์มาชำระหนี้ให้กับชาวบ้านทั้ง 8 รายได้ แต่กระบวนการคาดว่าคงต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควร เพราะต้องไปทำการสืบทรัพย์ว่าปัจจุบันทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 นั้นยังคงมีทรัพย์สินอะไรบ้าง และมีการจำหน่ายจ่ายโอนมรดกไปให้ใครบ้างแล้วหรือยัง
ส่วน นายกำธร ศรีสุวรรณมาลา เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้รับฟังคำพิพากษาแล้วทุกคนต่างก็มีความรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ซึ่งการฟังคำพิพากษาของศาลฎีกาก็ถือว่าสิ้นสุดคดีแล้ว ซึ่งเราต้องขอขอบคุณศาลที่ให้ความเป็นธรรมต่อพวกเรา เพราะที่ผ่านมากว่า 18 ปี ชาวบ้านคลิตี้ต้องเจ็บป่วยมาโดยตลอด บางคนก็ล้มหายตายจากกันไปแล้ว