รายงานข่าวแจ้งว่าเมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 14 กรกฎาคม ที่ห้องพิจารณาคดีบัลลังก์ 6 ศาลจังหวัดกาญจนบุรี นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา แผนกคดีสิ่งแวดล้อม คดีแพ่งหมายเลขดำที่ 106/2546 หมายเลขแดงที่ 1565/2549 ระหว่าง นายกำธร ศรีสุวรรณมาลา ที่ 1 กับพวก รวม 8 คน เป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศไทย) จำกัด และนายคงศักดิ์ กลีบบัว เป็นจำเลยที่ 1 และ 2
ทั้งนี้ในการรับฟังคำพิพากษาดังกล่าว ฝ่ายโจทก์มี ว่าที่ ร.ต.สมชาย อามีน กรรมการสิ่งแวดล้อม ทนายความผู้ช่วยเหลือคดีจากสภาทนายความ นายสุรพงษ์ กองจันทึก ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนา สภาทนายความ และ กลุ่มอนุรักษ์กาญจน์ นำโดย นางภินันท์ โชติรสเศรณี นายบุญส่ง จันทร์ส่งรัศมี เดินทางเข้าร่วมรับฟัง ขณะที่ฝ่ายจำเลยได้ส่งทนายความ เข้าร่วมรับฟัง โดยศาลใช้เวลาในการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกานานกว่า 2 ชั่วโมง จึงแล้วเสร็จ
หลังการอ่านคำพิพากษา นายสุรพงษ์ กองจันทึก เปิดเผยวว่า ศาลได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการเจ็บป่วยของชาวบ้านทั้งหมด ซึ่งมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสารตะกั่วมายืนยัน ทำให้เชื่อได้ว่าความเจ็บป่วยของผู้เสียหายเกิดจากการกระทำของ บริษัทตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทที่เป็นผู้ควบคุมสารตะกั่ว ศาลยังเห็นว่าจำเลยมีเจตนาที่จะปล่อยสารตะกั่วลงในลำห้วยคลิตี้ ซึ่งนอกจากจำเลยจะต้องฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ให้กลับมาใช้ได้ดังเดิมแล้ว จะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้กับชาวบ้านทั้ง 8 ราย เป็นเงิน 20,200,000 บาท รวมทั้งให้โจทก์สามารถยื่นฟ้องค่ารักษาจากอาการป่วนเนื่องจากการรับสารตะกั่วได้อีกในอนาคต
ว่าที่ ร.ต.สมชาย กล่าวว่า การอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา(แผนกคดีสิ่งแวดล้อม)ภาพรวมแล้วถือว่าดีมาก เพียงแค่ศาลไม่ให้จ่ายค่าชดใช้เรื่องของควายที่ตายไป แต่คงให้ชดใช้ เฉพาะเรื่องของความเจ็บป่วยของชาวบ้านทั้ง 8 รายโดยค่าชดใช้นั้นลดลงกว่าที่ศาลอุทธรณ์เคยตัดสิน
สำหรับกรณีจำเลยที่ 1 ซึ่งขณะนี้ได้ล้มละลายไปแล้วนั้น คงไม่มีปัญหามากนัก เนื่องจากคนที่ตกเป็นเจ้าหนี้ ก็มายื่นขอให้ชำระหนี้ในคดีล้มละลายของจำเลยที่หนึ่ง ซึ่งโอกาสที่จะเป็นไปได้ว่า ในการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ค่อนข้างจะยาก เพราะว่า การที่จำเลยล้มละลายแสดงให้เห็นว่าเขามีหนี้สินล้นพ้นอยู่แล้วเราจึงมีสิทธิ์ ทำได้เพียงแค่ให้บังคับใช้หนี้ในคดีล้มละลายได้ เพื่อที่จะเอามาเฉลี่ยทรัพย์
ดังนั้น คดีนี้จำเป็นจะต้องพุ่งเป้าไปที่จำเลยที่ 2 คือนายคงศักดิ์ กลีบบัว ถึงแม่นายคงศักดิ์จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่นายคงศักดิ์ น่าจะมีทรัพย์มรดกของเขาอยู่ จึงทำให้สามารถติดตามไปยึดทรัพย์ มาชำระหนี้ให้กับชาวบ้านทั้ง 8 รายได้ แต่กระบวนการคาดว่าคงต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควรเพราะต้องไปทำการสืบทรัพย์ว่าปัจจุบันทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 นั้น ยังคงมีทรัพย์สินอะไรบ้าง และมีการจำหน่ายจ่ายโอนมรดกไปให้ใครบ้างแล้ว หรือยัง
ขณะที่นายกำธร ศรีสุวรรณมาลา หนึ่งในช่วงบ้านที่ได้รับความเสียหายและเป็นโจทก์ในคดี กล่าวว่า หลังได้รับฟังคำพิพากษาของศาลฎีกาแล้วทุกคนต่างก็มีความรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ซึ่งถือว่าสิ้นสุดคดีแล้ว เราต้องขอขอบคุณศาลที่ให้ความเป็นธรรมกับพวกเรา เพราะที่ผ่านมากว่า 10 ปี ชาวบ้านคลิตี้ ต้องเจ็บป่วยมาโดยตลอด บางคน ก็ล้มหายตายจากกันไปแล้ว
ทั้งนี้ในการรับฟังคำพิพากษาดังกล่าว ฝ่ายโจทก์มี ว่าที่ ร.ต.สมชาย อามีน กรรมการสิ่งแวดล้อม ทนายความผู้ช่วยเหลือคดีจากสภาทนายความ นายสุรพงษ์ กองจันทึก ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนา สภาทนายความ และ กลุ่มอนุรักษ์กาญจน์ นำโดย นางภินันท์ โชติรสเศรณี นายบุญส่ง จันทร์ส่งรัศมี เดินทางเข้าร่วมรับฟัง ขณะที่ฝ่ายจำเลยได้ส่งทนายความ เข้าร่วมรับฟัง โดยศาลใช้เวลาในการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกานานกว่า 2 ชั่วโมง จึงแล้วเสร็จ
หลังการอ่านคำพิพากษา นายสุรพงษ์ กองจันทึก เปิดเผยวว่า ศาลได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการเจ็บป่วยของชาวบ้านทั้งหมด ซึ่งมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสารตะกั่วมายืนยัน ทำให้เชื่อได้ว่าความเจ็บป่วยของผู้เสียหายเกิดจากการกระทำของ บริษัทตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทที่เป็นผู้ควบคุมสารตะกั่ว ศาลยังเห็นว่าจำเลยมีเจตนาที่จะปล่อยสารตะกั่วลงในลำห้วยคลิตี้ ซึ่งนอกจากจำเลยจะต้องฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ให้กลับมาใช้ได้ดังเดิมแล้ว จะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้กับชาวบ้านทั้ง 8 ราย เป็นเงิน 20,200,000 บาท รวมทั้งให้โจทก์สามารถยื่นฟ้องค่ารักษาจากอาการป่วนเนื่องจากการรับสารตะกั่วได้อีกในอนาคต
ว่าที่ ร.ต.สมชาย กล่าวว่า การอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา(แผนกคดีสิ่งแวดล้อม)ภาพรวมแล้วถือว่าดีมาก เพียงแค่ศาลไม่ให้จ่ายค่าชดใช้เรื่องของควายที่ตายไป แต่คงให้ชดใช้ เฉพาะเรื่องของความเจ็บป่วยของชาวบ้านทั้ง 8 รายโดยค่าชดใช้นั้นลดลงกว่าที่ศาลอุทธรณ์เคยตัดสิน
สำหรับกรณีจำเลยที่ 1 ซึ่งขณะนี้ได้ล้มละลายไปแล้วนั้น คงไม่มีปัญหามากนัก เนื่องจากคนที่ตกเป็นเจ้าหนี้ ก็มายื่นขอให้ชำระหนี้ในคดีล้มละลายของจำเลยที่หนึ่ง ซึ่งโอกาสที่จะเป็นไปได้ว่า ในการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ค่อนข้างจะยาก เพราะว่า การที่จำเลยล้มละลายแสดงให้เห็นว่าเขามีหนี้สินล้นพ้นอยู่แล้วเราจึงมีสิทธิ์ ทำได้เพียงแค่ให้บังคับใช้หนี้ในคดีล้มละลายได้ เพื่อที่จะเอามาเฉลี่ยทรัพย์
ดังนั้น คดีนี้จำเป็นจะต้องพุ่งเป้าไปที่จำเลยที่ 2 คือนายคงศักดิ์ กลีบบัว ถึงแม่นายคงศักดิ์จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่นายคงศักดิ์ น่าจะมีทรัพย์มรดกของเขาอยู่ จึงทำให้สามารถติดตามไปยึดทรัพย์ มาชำระหนี้ให้กับชาวบ้านทั้ง 8 รายได้ แต่กระบวนการคาดว่าคงต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควรเพราะต้องไปทำการสืบทรัพย์ว่าปัจจุบันทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 นั้น ยังคงมีทรัพย์สินอะไรบ้าง และมีการจำหน่ายจ่ายโอนมรดกไปให้ใครบ้างแล้ว หรือยัง
ขณะที่นายกำธร ศรีสุวรรณมาลา หนึ่งในช่วงบ้านที่ได้รับความเสียหายและเป็นโจทก์ในคดี กล่าวว่า หลังได้รับฟังคำพิพากษาของศาลฎีกาแล้วทุกคนต่างก็มีความรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ซึ่งถือว่าสิ้นสุดคดีแล้ว เราต้องขอขอบคุณศาลที่ให้ความเป็นธรรมกับพวกเรา เพราะที่ผ่านมากว่า 10 ปี ชาวบ้านคลิตี้ ต้องเจ็บป่วยมาโดยตลอด บางคน ก็ล้มหายตายจากกันไปแล้ว