ศูนย์ข่าวศรีราชา - อำเภอบางละมุง สนธิกำลังเปิดฉากลุยรื้ออาคารรุกล้ำคลองสาธารณะ พัทยาใต้ หลังยืดเยื้อมานาน ด้านเจ้าของอาคารออกแถลงการณ์แจงสังคม ระบุการกระทำดังกล่าวไม่เคารพสิทธิโดยชอบ และยังอยู่ในขั้นตอนของการฟ้องร้องต่อศาลปกครอง เตรียมยื่นร้องขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน และมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว
ตามที่คณะกรรมการติดตามการแก้ไขปัญหาอาคารรุกล้ำคลองสาธารณะ พัทยาใต้ ได้ประชุมหารือกัน และมีบทสรุปที่จะเข้าทำการรื้อถอนอาคาร บ.บาลีฮาย พลาซ่า และ บ.จูลี่ คอมเพล็กซ์ ซึ่งระบุว่า มีแนวของอาคารที่รุกล้ำแนวคลองสาธารณะ ซึ่งก่อนหน้านี้ เมืองพัทยาในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ดูแลกฎหมายควบคุมอาคาร ได้ทำการออกคำสั่งระงับการก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเคลื่อนย้ายอาคาร รวมทั้งคำสั่งให้ดำเนินการแก้ไข และยื่นคำร้องขอใบอนุญาตก่อสร้าง ดัดแปลง และคำสั่งให้รื้อถอนอาคารตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคารไปแล้วทั้งแบบ ค.5 ค.6 ค.12 และ ค.15 พร้อมการประกาศเตือนแจ้งล่วงหน้าเป็นเวลา 7 วัน แต่ทางเจ้าของอาคารยังไม่ดำเนินการ จึงใช้วิธีพิเศษว่าจ้างผู้รับเหมาเพื่อเข้ามาทำการรื้อถอนในงบประมาณ 1.07 ล้านบาท ที่เจ้าของอาคารจะต้องเป็นผู้ชดใช้ โดยจะสนธิกำลังร่วมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเข้ามาดำเนินการอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 มิถุนายนนี้
ล่าสุด เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (15 มิ.ย.) นายชาคร กัญจนวัตตะ นายอำเภอบางละมุง พร้อมด้วย นายรณกิจ เอกะสิงห์ ดร.วีรวัฒน์ ค้าขาย รองนายกเมืองพัทยา รวมทั้งตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำลังทหาร กรมเจ้าท่า สภ.เมืองพัทยา ลงพื้นที่บริเวณอาคารโครงการบาลีฮายพลาซ่า บริเวณท่าเทียบเรือบาลีฮาย พัทยาใต้ ก่อนส่งมอบพื้นที่ให้ บ.บอย โอเชี่ยนสตาร์ ซึ่งได้รับสัมปทานการรื้อถอนโครงสร้างอาคารนำอุปกรณ์เข้าเร่งรัดทำการเคลื่อนย้าย และรื้อถอนอาคารบางส่วนอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีตัวแทนจากโครงการ และทนายความมาเฝ้าดูสถานการณ์ โดยไม่ได้กีดขวาง หรือมีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ เกิดขึ้น
ทั้งนี้ ในส่วนของโครงสร้างของอาคารบาลีฮาย พลาซ่า นั้น เป็นโครงการขนาด 3 ชั้น ที่มีแนวอาคารที่ได้รับคำสั่งให้ทำการรื้อถอนในส่วนของที่ก่อสร้างไม่ถูกต้องตามแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต และล้ำเขตคลองสาธารณะในแนวถอยร่นในระยะ 6 เมตร รวมพื้นที่ 935.035 ตารางเมตร ขณะที่อาคาร บ.จูลี่ คอมเพล็กซ์ เป็นอาคารขนาด 8 ชั้น ที่มีแนวอาคารล้ำแนวถอยร่น 6 เมตร จากเขตคลองเช่นกันขนาด 6x40 เมตร และบริเวณที่อยู่ในเขตเขาพัทยา หรือที่สาธารณะขนาด 18x90 เมตร รวมทั้งแนวถอยร้นจากเขตที่ดินระยะ 3 เมตร ขนาด 0.50x40 เมตร ซึ่งได้มอบหมายให้ทางผู้รับเหมาเข้าดำเนินการให้แล้วเสร็จในเวลา 90 วัน
นายชาคร กัญจนวัตตะ นายอำเภอบางละมุง กล่าวว่า ปัญหาการรุกล้ำคลองสถานะถือเป็นปัญหาที่สั่งสมมานาน โดยในส่วนของผู้เกี่ยวข้องเองก็ได้แจ้งได้ประสานกับทางผู้ประกอบการให้ดำเนินการแก้ไขตัวอาคารที่รุกล้ำคลองสาธารณะไปแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการจัดการ จึงจำเป็นต้องลงพื้นที่เพื่อรื้อถอนในส่วนที่รุกล้ำตามอำนาจ เพราะหากไม่ดำเนินการก็จะเข้าข่ายความผิดในเรื่องของการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้
ขณะที่ ดร.วีรวัฒน์ ค้าขาย รองนายกเมืองพัทยา กล่าวว่า เมืองพัทยาดำเนินการตามขั้นตอนอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว แม้ว่าจะมีการอุทธรณ์ไปยังคณะกรรมการระดับจังหวัดก็มีคำวินิจฉัยยกคำอุทธรณ์ ขณะที่การฟ้องร้องต่อศาลปกครองเพื่อขอทุเลา และให้มีการคุ้มครองชั่วคราวนั้น แม้คดีนี้ศาลจะยังไม่จำหน่าย แต่ก็มีหนังสือตอบกลับยืนยันมาแล้วว่า ไม่มีเหตุให้คำสั่งไม่ชอบจึงไม่คุ้มครองในกรณีดังกล่าว เมืองพัทยา จึงได้เข้าดำเนินการอย่างเป็นทางการในครั้งนี้
ดร.วีรวัฒน์ กล่าวต่ออีกว่า จากนี้คงจะต้องให้ระยะเวลาแก่ทางผู้รับเหมาเข้าทำการรื้อถอนอาคารในส่วนที่รุกล้ำคลองสาธารณะให้แล้วเสร็จ โดยจะเปิดโอกาสให้ทางเจ้าของโครงการเข้ามากำกับดูแลการรื้อถอน พร้อมทั้งจัดทำบัญชีทรัพย์สินร่วมกันเพื่อป้องกันความเสียหาย และความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้น ขณะที่เมืองพัทยาเองหลังจากกรณีนี้แล้ว ก็จะเดินหน้าอย่างต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหาอาคารที่ก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาต และรุกล้ำที่สาธารณะต่อไป โดยในเวลาอันใกล้นี้ จะใช้วิธีพิเศษเพื่อว่าจ้างผู้รับเหมาเข้ามาทำการรื้อถอนอาคารของโรงแรมบูติค โฮเต็ล ขนาด 13 ชั้น ย่านพัทยาใต้ และอาคารบริเวณแนวคลองปึกพลับ ย่านนาเกลือต่อไป
มีรายงานเพิ่มเติมว่า ต่อมา ทาง บ.บาลีฮาย พลาซา ได้แจกเอกสารแก่สื่อมวลชนเพื่อชี้แจงต่อสังคม โดยระบุว่า การะทำครั้งนี้ของภาครัฐเป็นการกระทำที่ไม่เคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชน เนื่องจากปัจจุบันกรณีดังกล่าวได้มีการฟ้องร้องต่อศาลปกครอง และอยู่ในระหว่างการพิจารณา ประกอบกับทางบริษัทได้ร้องขอให้ศาลคุ้มครองชั่วคราว ซึ่งศาลยังไม่มีคำวินิจฉัย และคุ้มครองหรือไม่
อีกทั้งทางที่ดินแปลงดังกล่าวทางบริษัทเป็นเพียงผู้เช่าที่ดิน ที่ทำสัญญาไว้ตั้งแต่ปี 2547 และมีการขออนุญาตปลูกสร้างอย่างถูกต้องตามกฎ หมาย โดยปัจจุบัน ทางบริษัทได้มอบหมายให้ทนายความ และกรรมการไปยื่นร้องขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน และมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวแล้ว ดังนั้น หากเห็นว่าการกระทำไม่ชอบด้วยกฎหมายก็จะดำเนินการตามกฎหมายต่อผู้เกี่ยวข้องต่อไป