พระนครศรีอยุธยา - ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เสริมความรู้ด้านการคุ้มครองช่วยเหลือบุคคลไร้ที่พึ่ง เร่ร่อน และขอทานให้แก่เจ้าหน้าที่ รองรับการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติควบคุมขอทานฉบับใหม่
วันนี้ (19 พ.ค.) ที่ห้องประชุมยามาวดี โรงแรมวรบุรี อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา นายประยูร รัตนเสนีย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นประธานเปิดโครงการพัฒนาทักษะการให้ความคุ้มครองช่วยเหลือบุคคลไร้ที่พึ่ง เร่ร่อน และขอทาน โดยมี นางสุมาลี บรรเลง ผู้อำนวยการศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวรายงาน พร้อมกันนี้ ยังมีผู้เข้าร่วมกับการอบรม เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตรวจคนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่อาสาสมัคร และหน่วยงานที่เข้าร่วมกว่า 100 คน
จากสถานการณ์ปัญหาการขอทานในประเทศไทยเป็นปัญหาหนึ่งในสังคมที่มีมาอย่างยาวนาน และนับวันปัญหานี้จะทวีความรุนแรงมากขึ้น เชื่อมโยงไปสู่ปัญหาอาชญากรรมต่างๆ ในสังคม เช่น ปัญหาการค้ามนุษย์ เป็นต้น ทั้งนี้ ทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้มอบหมายให้กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ดำเนินการจัดระเบียบคนขอทานทั่วประเทศ ซึ่งจากสถิติการจัดระเบียบขอทานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ผ่านมา 4 ครั้ง พบว่า มีทั้งสิ้น 57 ราย แยกเป็นชาย 38 ราย และหญิง 19 ราย โดยมีคู่แม่ลูกที่เป็นคนต่างด้าวอยู่ด้วย จำนวน 1 ครอบครัว และผู้พิการ 4 ราย
โดยก่อนหน้านี้ ได้ใช้พระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ.2484 มาใช้เป็นแนวทางในการควบคุม แต่ปัจจุบัน ทางรัฐบาลได้ปรับเปลี่ยนเปลี่ยนมาใช้พระราชบัญญัติควบคุมการขอทานฉบับใหม่ เป็นพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ.2559 เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ทางสังคม และพฤติกรรมของบุคคลไร้ที่พึ่งต่างๆ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2559 นี้เป็นต้นไป
ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินกระบวนการทางกฎหมายเป็นไปอย่างถูกต้อง และเพื่อให้ปัญหาขอทานหายไปจากสังคมไทย ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จึงจำเป็นต้องมีความรู้ และทักษะการปฏิบัติงานที่ถูกต้อง เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับรองรับการใช้พระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ.2559 ที่กำลังจะเริ่มใช้ในไม่ช้านี้ โดยเฉพาะทักษะทางเทคนิค วิธีการเฉพาะที่จะเข้าไปทำงานต่อกลุ่มเป้าหมายที่จะไม่ทำให้เกิดการลดทอนศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และต้องไม่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนด้วย